เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ศัตรูของมนุษย์และโลกที่เราเรียกว่า #มอด นี้
ในมิติที่ 5 ซึ่งเป็นมิติเหนือกว่าจิตหยาบของมนุษย์
ที่ปกติแล้วมนุษย์จะสั่นสะเทือนในมิติที่ 3-4 เท่านั้น
คำว่าสั่นสะเทือนอยู่ในมิติที่เท่าใดนั้น
สำหรับรูปธรรมสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทรงสร้าง
พระบิดาทรงหมายความว่า
#จิตวิญญาณ ที่เป็นแก่นแท้ในรูปธรรมนั้น
มีอำนาจในการสั่นสะเทือนสูงสุดอยู่ในระดับใด
ถ้าจิตวิญญาณนั้นมีการสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวก
แล้วสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
จนเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าที่อยู่ในทรงกลมเดียวกัน
ได้ทั้งหมดกี่เหลี่ยมมุมหรือเป็นจำนวนกี่รูปก็ตาม
รูปธรรมสิ่งมีชีวิตนั้นจะสั่นสะเทือนอยู่ในมิตินั้นเสมอ
ตัวอย่างเช่น
จิตวิญญาณของพวก “สัตว์ร้าย” บนดาวอื่นในเอกภพ
พระบิดา (God) ทรงใช้ให้พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่าน
เดินทางเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
โดยพวกสัตว์ร้ายเหล่านั้นจิตวิญญาณจะอยู่ในมิติที่ 6
จึงมีคุณสมบัติด้านอภิญญาปาฏิหาริย์ติดตัวมาด้วย
ไม่ต่างจากวัตถุมงคลของมอดที่ถูกปลุกเสกให้มีพลัง
วัตถุชิ้นนั้นก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์สำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ
ไปตามพลังอำนาจพิเศษที่ถูก “ชาร์จ” ถูกกำหนดให้
ดังนั้น
วัตถุมงคลต่างๆที่ถูกปลุกถูกเสกด้วยวิชามอด
ไม่ว่าดินปั้น ปูนปั้น โลหะหล่อ ไม้แกะสลัก ผ้ายันต์
เพื่อสร้างเป็นรูปเคารพบูชาพาให้มนุษย์โลกงมงาย
ล้วนเป็นอวิชชาของมอดผู้มี #ฌานอภิญญา
เพราะมีจิตวิญญาณอยู่ในมิติที่ 6 แต่ลดลงมาสู่มิติที่ 5
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดอยู่บนดาวดวงนั้นๆตั้งแต่ต้น
การใช้พลังจิตปลุกเสกวัตถุมงคลคือการใช้อำนาจ
กำหนดสร้างสรรพสิ่งใดๆด้วยอำนาจภายในตนเอง
เพื่อให้สรรพสิ่งนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตน
ซึ่งสัตว์ร้ายเหล่านี้สามารถจัดการได้อย่างพร่ำเพรื่อ
จนพากันหลงตัวเองว่าพวกเขาคือ #พระผู้สร้าง
ที่ใช้คำสากลของโลกว่า The Creators นั่นเอง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
สิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์ร้ายจากต่างดาวเหล่านี้
ยิ่งค้นพบพลังอำนาจทางจิตวิญญาณในตนเอง
ก็ยิ่งสนุกสนานกับการใช้ “อำนาจเหนือ” นำทุกสิ่ง
ที่พวกตนพบพานผ่านเผชิญในจักรวาลอันไพศาลนี้
ด้วยพลังอำนาจแต่เดิมที่พระบิดาประทานมาให้
บวกกับความกล้าหาญที่ขับดันด้วย #กิเลสตัณหา
จึงยังผลให้หลายหมื่นปีที่ผ่านมาพวกเขาต้องตกชั้น
จิตวิญญาณต้องเสื่อมอำนาจลงสู่มิติที่ 5 จนทุกวันนี้
ลัทธิอุตริอวิชชาทำนองนี้
เป็นที่มาของความเสื่อมอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่มอดมารทั้งหลายถ่ายทอดให้กับมนุษย์โลก
หลงก้าวตามมอดเพราะกระหายกิเลสชอบอวดอุตริ
การสร้างวัตถุสร้างรูปเคารพบูชาสร้างอนุสาวรีย์
การปลุกเสกเลขยันต์การเล่นแร่แปรธาตุ ฯลฯ
จึงล้วนเป็นการทำให้จิตวิญญาณของตนเสื่อมอำนาจ
ซึ่งมันจะยังผลให้พวกท่านล้มเหลวทางจิตวิญญาณ
จนไม่อาจปฏิบัติตามแผนการที่ทรงออกแบบเอาไว้ได้
เพราะพระบิดาทรงมอบทั้งอำนาจหน้าที่ให้สัตว์ร้าย
แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจกลับใช้อำนาจที่ตนมีไม่เป็น
จึงทำตนเป็นคนพาลเกเรจนจักรวาลวุ่นวายไปทั้งหมด
เพราะบุตรที่เหลวไหลไม่เอาถ่านไม่เอาไหนไร้เมตตา
สงครามจักรวาลความขัดแย้งข้ามดาวการแตกดับ
การเสียสมดุลของเอกภพมีเหตุที่มายิ่งกว่าในภาพยนตร์
ซึ่งพวกเขาทำการสร้างกันขึ้นมาจากเรื่องจริง
เพื่อเยาะเย้ยถากถางและประกาศศักดาต่อฝ่ายผู้แพ้ว่า
พวกข้าแน่กว่าพวกเอ็งอย่าได้แหยม....นะเว้ยเฮ้ย!
ที่เราเปิดเผยมาข้างต้นนั้นเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้น
ซึ่งถูกมิติแห่งกาลเวลาทางกายภาพโลกบดบังไว้
ทำให้ท่านทั้งหลายผู้ที่เข้าถึงเวลาของจักรวาลมิได้
ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาลไม่ได้จึงเป็นความลับ
ที่ยังผลให้พวกท่าน “รู้น้อย” เมื่อรู้น้อยกว่าจึง “โง่ง่าย”
เพราะพวกเขาเป็น #รูปธรรมต้นแบบ ของพระเจ้า
สิ่งใดที่นำมาซึ่งความล้มเหลวในแผนการทดลอง
สิ่งนั้นจะถูกยกเลิกสิ่งนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข
เพื่อพัฒนามันให้ถูกต้องเหมาะสมดีงามยิ่งกว่าเดิม
พระบิดาหรือพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
จึงมิทรงต้องการให้ลูกแกะรุ่นสุดท้ายของพระองค์
ล้มเหลวในการอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทนพระองค์
ในห้องทดลองใหญ่คือ #อนันตจักรวาล หรือเอกภพ
1.ใช้อำนาจระดับ 6 ของพระองค์พร่ำเพรื่อ
โดยเข้าแทรกแซงกระบวนการต่างๆในห้องทดลอง
ทำให้แบบแผนที่พระบิดาทรงออกแบบไว้บิดเบี้ยว
จนหลงตนเองเพราะถูกกิเลสครอบงำพาให้หลงมิติ
แล้วยกตนเองเป็น #พระผู้สร้าง ตีเสมอพระเจ้า
เพราะพบว่าอำนาจในตนเองที่มีอยู่นับแต่เกิดมานั้น
ตนสามารถใช้สร้างก็ได้ทำร้ายทำลายทิ้งเสียก็ได้
แม้แต่ดวงดาวถิ่นกำเนิดตนเองก็เคยระเบิดทิ้งมาแล้ว
เผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตบนดาวอื่นพวกตนก็เคยทำมาแล้ว
ความหลงตัวเองว่าฉลาดกว่ามีอำนาจกิเลสเหนือกว่า
จึงเป็นที่มาของความเหิมเกริมที่จะเป็น “ผู้สร้าง”
ซึ่งมีเงาของ “ผู้ทำลาย” เป็นสิ่งชั่วที่ติดตามตัวอยู่
2.พวกเขามีความสนุกสนานเพลิดเพลิน
กับการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เที่ยวท่องไปในจักรวาลได้
ทั้งด้วยพลังฌานอภิญญาอันเกิดแต่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นพลังอำนาจระดับ 6 ที่ตกต่ำลงมาสู่ระดับ 5
กับพลังสติปัญญาของสมองก้อนเดียว
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ใช้
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติดั่งมนุษย์
โดยให้จิตวิญญาณแก่นแท้สั่นสะเทือนขันธ์ทั้ง 4
เป็นการสั่นสะเทือนในสองมิติทางด้านบวกให้ได้
แต่พวกเขาตกเป็นทาสของ “มายา” ของพระบิดา
จึงยังผลให้ขันธ์ทั้งสี่กลายเป็น #ขันธ์ห้า มาจนบัดนี้
เพราะจิตวิญญาณตกต่ำสร้าง #เวทนาขันธ์ ขึ้นมาเอง
ด้วยพลังอำนาจด้านลบของ “กิเลส” โดยแท้
มนุษย์ที่ถูกมอดครอบงำด้วยจิตที่ติดกิเลส
จึงหมุนธรรมจักรด้วยความรักจากการใช้ขันธ์ห้ามิได้
เพราะจิตคอยจะสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตลอดเวลา
เนื่องจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะทั้งหลายนั้น
มันเป็นการสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำจึงสั่นง่ายกว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์จึงบวชนานแล้วนิพพานไม่ได้
เมื่อนิพพานเจ้ากิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะไม่ได้
จิตวิญญาณก็สอบตกบททดสอบจนทำหน้าที่ช่วยโลก
เพื่อให้ความรักความเมตตาสร้างพลังงานค้ำจุนโลก
ด้วยการช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตนเองให้สมดุล
ตามที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดจึงทำไม่สำเร็จ
นี่ก็สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วจิตวิญญาณยังต้องกลับบ้าน
โดยดีดตนเองออกจากห้องทดลองขนาดใหญ่นี้ให้ได้
เพื่อกลับไปกราบพระบิดาในสภาวะ #หลุดพ้น
อันเป็นภารกิจสุดท้ายหรือมรรคผลที่ทุกคนต้องทำ
3.ประดาพวกสิ่งมีชีวิตที่หลงมิติเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นเทพบุตรเทพธิดาเป็นนางฟ้าหรือสัตว์ร้าย
ล้วนเป็นพวกที่มีความคิดไม่ต่างจากมนุษย์โลก
นั่นคือไม่รู้ #อนุตรธรรม ความจริงของตนก่อนมาเกิด
เช่น ไม่รู้ว่าพวกตนเป็นใคร มาจากไหน
ใครให้มาเกิด มาเกิดบนดวงดาวของตนกันทำไม
มาเกิดแล้วพวกตนต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นต้น
เพราะความไม่รู้จึงประพฤติตนไม่ถูกต้อง
ตามแบบแผนที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้ทำ
เพราะมีแต่ดวงจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยฤทธิอำนาจ
โดยไม่มีจิตหยาบเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่แทน
การขาดสติทางวิญญาณจนนำมาซึ่งความเสื่อม
ทั้งของตนเองและจักรวาลทั้งระบบใหญ่จึงบังเกิด
นี่จึงเป็นที่มาของการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
สำหรับภารกิจจิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลก
โดยพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้าพระองค์จริง
ทรงกำหนดให้มีการเติมเต็มดังต่อไปนี้
1.ให้จิตวิญญาณแบ่งภาคตนเองออกมา
เพื่อให้เป็นจิตหยาบในการทำหน้าที่แทนเมื่อมาเกิด
เพราะไม่ต้องการให้จิตวิญญาณผู้มีอำนาจระดับ 6
เกิดการหลงตัวเองหลงคิดว่าตนเองเป็นพระผู้สร้าง
ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำลายแบบแผนต่างๆ
ตามที่พระองค์ทรงออกแบบและสร้างไว้ดีแล้ว
ซึ่งความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้น
จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขดังว่านี้
เพราะพวกสัตว์ทดลองรุ่นแรกทำตนเหลวไหล
จึงเป็นประสบการณ์ด้านลบที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ที่จะทรงยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกมิได้
2.ให้มีพระศาสดาจากโลกเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
ช่วยแก้ไขชำระจิตหยาบมนุษย์ผู้หลงผิดตามมอด
จนงมงายลุ่มหลงอยู่กับกิเลสตัณหาบ้าอำนาจ
จนขาดความสามารถในการใช้ความรักและปัญญา
ให้กลับมาเป็นผู้ที่มีจิตใสใจสวยดังเดิมให้จงได้
นั่นคือฉุดช่วยให้ “จิตหยาบ” นิพพานกิเลสนั่นเอง
พระศาสดาที่เกิดจากโลกจึงสอนให้มนุษย์โลก
มีมรรคผลสูงสุดคือการนิพพานกิเลสของจิตหยาบ
ให้พร้อมต่อการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณต่อไป
3.ให้มีพระศาสดาผู้มาจากพระเจ้าพระองค์จริง
มิใช่พระศาสดาผู้มาจากต่างดาวคือ Creators
พระศาสดาที่มาจากพระเจ้าก็คือ พระบุตรเอก
ผู้สละตนเองอาสาพระบิดาเข้ามาฉุดช่วยมนุษย์
ทุกชาติทุกศาสนาให้จำพระบิดาให้จงได้
ให้ทำหน้าที่ของจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระบิดามา
ให้รู้ว่าตนเองคือจิตหยาบที่ยังมีตนเองอีกภาคหนึ่ง
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณแก่นแท้ผู้เข้ามาเกิดตัวจริง
เป็นผู้เร้นตนเองหรือถูกกักขังอยู่ข้างใน
เพื่อมิให้ออกมาสำแดงอภิญญาอภินิหารที่จับต้องได้
ดั่งเช่นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกที่ทรงสร้าง
จนเกิดความวุ่นวายทั้งจักรวาลและเสียหายถึงบัดนี้
เพื่อให้มนุษย์ผู้มีปัญญาจากสมองทั้งสองซีกรู้ว่า
เหนือฟ้าของสมองซีกซ้ายก็คือ #สติปัญญา
ยังมีฟ้าคือ #ปัญญาญาณ ของสมองซีกขวาอยู่อีก
แปลความว่าจงอย่าหลงตนเป็น #กบในกะลาครอบ
อย่าหลงว่าตนเป็นพระผู้สร้างในบทบาทผู้ทำลาย
นอกโลกยังมีจักรวาลนอกจักรวาลยังมี #จิตจักรวาล
นักทำลายผู้หลงผิดคิดว่าตนคือพระผู้สร้าง
มิต่างจากผู้ที่หลงเงาของตนเองเท่านั้น
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/07/2022