29 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/12/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/12/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะท่านถูก คนนำทางตาบอด
ชักจูงให้เชื่อจนจำฝังใจอยู่ในสัญญาขันธ์
ที่ปัจจุบันเราเรียกขานว่า Mind Set
จนยากแก่การแก้ไขเยียวยาว่า

จิตวิญญาณของพวกท่านที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลกนั้น
เป็นเหมือนดั่ง ลูกกำพร้า ไม่มีผู้ให้กำเนิด
เป็นเหมือนดั่ง คนพเนจร ที่ร่อนเร่ไปในจักรวาล
เป็นเหมือนดั่ง คนไร้บ้าน ไม่มีถิ่นกำเนิดเมืองนอน
เป็นเหมือนดั่ง วัตถุล่องลอย หน้าที่คือไม่ต้องทำอะไร

โดยคนนำทางตาบอดยังถ่ายทอดความเชื่อกันมา
ตั้งแต่บรรพบุุรุษและบรรพสตรีเอาไว้อีกด้วยว่า
ให้เชื่อตามครูหรือผู้นำทางเท่านั้นห้ามคิดไปเป็นอื่น
เพราะจะเป็นการคิดนอกรีตจะเป็นการผิดบาปต่อครู
จึงยังผลให้ท่านเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ โง่ง่ายฉลาดยาก
เนื่องจากถูกสอนให้เชื่อตามโดยไม่สอนให้คิดตาม
ความฉลาดใช้ปัญญาเพื่อเรียนรู้จึงย่อหย่อนไร้ทักษะ
โดยสังเกตได้จากการตั้งคำถามตนเองเพื่อคิดรู้ไม่เป็น

เมื่อพวกท่านถูกเสี้ยมสอนให้เป็นคนสมองทื่อ
เหมือนดั่งมีดที่ไร้ซึ่งความแหลมคมแล้ว
ยังขาดทักษะในการใช้สมองหรือมีดอีกต่างหากด้วย

ดังนั้น
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
จึงมีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นในวิถีแห่งการเรียนรู้
คือ การเชื่อหรือไม่เชื่อ แทน ใช่หรือไม่ใช่
โดยใช้กลไกอายตนะกระตุ้นจิตหยาบของท่าน
ให้สั่นสะเทือนขันธ์ห้าได้แค่ เวทนาขันธ์
เพื่อหมุนกรรมจักรด้วยตัณหาราคะและอารมณ์ขยะ
แทนการใช้ ความรักกับปัญญาของสมอง
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้ารายรอบตัวด้วย ธรรมจักร

พวกท่านส่วนใหญ่จึงตกเป็นทาสกฎแห่งกรรม
เพราะพวกท่านกระทำผิดบาปง่ายมาก
พวกท่านทั้งหลายจึงอ่อนด้อยทางปัญญา
เหตุเพราะใช้ปัญญาในตนเองที่มีอยู่ไม่เป็น
เนื่องจากถูกฝึกให้เชื่อมากกว่าให้ใช้ความคิด
จึงถนัดแต่ใช้ความรู้สึกจากการรับรู้ผ่านอายตนะ
เป็นตัวชี้วัดตัดสินว่า "น่าเชื่อหรือไม่" เป็นสำคัญ

บุคคลคนนี้น่าเชื่อถือหรือไม่
คำพูดของเขาคนนี้ฟังดูแล้วรู้สึกดีหรือเปล่า
ความรู้นี้มีคนเชื่อตามกันเยอะมากแค่ไหน
ความรู้นี้มีคนเชื่อถือติดต่อกันมายาวนานแค่ไหน
ความรู้นี้สะดุดใจสะดุดความรู้สึกตนหรือไม่
ฯลฯ

มนุษย์ทั้งหลายจะมีหลักการพิจารณา
เพื่อการตัดสินความรู้ ตัดสินคน ตัดสินใจ
วนเวียนกันอยู่ในวังวนนี้ด้วยกันทั้งนั้น
คนส่วนใหญ่จึงพึ่งพาสติปัญญาตนเองไม่ค่อยได้
เหตุเพราะคิดไม่เป็นจึงพากันโง่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่ไม่มีใครอยากโง่และไม่ยอมโง่กันง่ายๆ

ดูตัวอย่างวิชาโลกที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์
การที่มนุษย์บางกลุ่มที่เขาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์
ก็เพราะพวกเขายอมรับและเชื่อว่าความจริงในอดีต
ก่อนที่เขาจะเกิดมาในชาตินี้นั้นล้วนมีอยู่จริง
เมื่ออยากรู้ความจริงในอดีตก็ต้องศึกษาสืบค้น
เพื่อหาหลักฐานแล้วนำมาวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง
โดยใช้หลักการ หลักฐาน หลักคิด และเหตุผล
พวกท่านทั้งหลายก็เข้าถึงประวัติศาสตร์นั้นๆได้

ความรู้เรื่องพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลก็เช่นกัน
ท่านจะยอมรับว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่
ท่านจักต้องศึกษาเรียนรู้และสืบค้นกันก่อน
เหมือนการศึกษาเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์นั่นแหละ
ซึ่งต้องใช้หลักการ หลักฐาน หลักคิดและเหตุผล
มิใช่ใช้แค่ความรู้สึกว่าน่าเชื่อไม่น่าเชื่อเป็นตัวตัดสิน

โดยเฉพาะหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ที่ทำให้ท่านปักหมุด "เชื่อ" ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มีจริง
เช่น หลักศิลาจารึกเก่าแก่ วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้
จำพวกถ้วยโถโอชาม ครกหิน เครื่องปั้นดินเผา
ทรากสิ่งก่อสร้าง คูดิน กำแพงเมืองที่ถูกกลบฝังอยู่

เมื่อค้นพบเศษซากโบราณนั้นๆแล้ว
นักประวัติศาสตร์ก็เข้าถึงความจริงในอดีตกาลได้
เพราะมันเป็นหลักฐานของอดีตที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้
เนื่องจากรู้ว่าวัตถุโบราณนั้นๆมันสร้างตัวมันเองไม่ได้
นี่คือการใช้เหตุผลทางปัญญามิใช่ความรู้สึก

พวกท่านจึงต้องลำบากมากเลย
กว่าจะเจอหลักฐานทางประวัติศาสตร์สักชิ้นหนึ่ง
เพื่อเรียนรู้อดีตของพวกท่านเองว่ามั้ย?
ถ้าไม่ฟลุ้คโผล่ขึ้นมาให้พวกท่านรู้เห็นเอง
พวกท่านก็ต้องเที่ยวขุดค้นหาอดีตกันเป็นอาชีพ
กว่าจะเข้าถึงความจริงของอดีตได้สักเรื่องหนึ่ง

แต่เหตุใดพวกท่านมิใช้หลักการ หลักคิดและปัญญา
แบบเดียวกับการค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์
เพื่อสืบค้นว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ หรือ พระเจ้า
ทรงมีอยู่จริงหรือไม่พระองค์เป็นใคร เป็นต้น

1.ศึกษาจากพระคัมภีร์
ที่ศาสดาผู้มาจากพระเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ให้รู้

2.ศึกษาค้นคว้าจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่
ซึ่งมีผู้กล่าวถึงพระองค์ไว้ในยุคต่างๆในอดีต

3.ศึกษาจากหลักฐานที่หาได้ง่ายๆในปัจจุบัน
ซึ่งไม่ต้องเที่ยวขุดค้นหาให้ยากลำบากเลย
เช่น ดูจากสิ่งที่พระองค์สร้างไว้และยังอยู่ให้เห็น
โดยมันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก่อนท่านเกิด
ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้มันดำรงอยู่ตลอดมา

ทั้งทุ่งหญ้า ป่าไม้ ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า สัตว์ป่า
ดวงดาวต่างๆในอวกาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ
นี่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มันยังไม่ชำรุด
ที่บ่งชี้ให้ท่านรู้ด้วยปัญญาว่ามันเกิดเองไม่ได้
ต้องมีพระผู้สร้างที่มีพลังอำนาจระดับเกินอัจฉริยะ

แต่ใยท่านชื่นชมปิรามิดอียิปต์โบราณว่า
เป็นสถาปัตยกรรมของมนุษย์ฝีมือขั้นอัจฉริยะ
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาเอาแท่งหินหนักหลายตัน
มาวางเรียงซ้อนกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ได้อย่างไร
แต่พวกท่าน "ก็เชื่อง่าย" ว่าคนโบราณเป็นผู้สร้าง
เว้นบางคนเท่านั้นที่ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์
จึงยกเกียรติให้กับมนุษย์ต่างดาวไปเพราะง่ายดี

เพราะค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ทั้งที่จมดินจมโคลนจมน้ำอยู่
หรือที่ยังคงสภาพเดิมๆให้เห็นอยู่
มนุษย์ก็สืบค้นจนเข้าถึงความจริงในอดีตได้
ซึ่งเป็นความจริงก่อนจะมาเกิดกันในยุคนี้ด้วยซ้ำ

น่าคิดบ้างหรือไม่ว่า
พระบิดาฯหรือพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งไว้ในเอกภพนี้
ทรงมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ชำรุด
ยังไม่แตกสลายที่มีอยู่รายรอบตัวท่านตั้งมากมาย
โดยไม่นับ "ทรากฟอสซิล" ที่แข็งเป็นหินฝังดินอยู่
ให้บุตรมนุษย์ผู้ชาญฉลาดใช้เป็นหลักฐาน
ในการเข้าถึงความจริงของพระผู้สร้างที่มีตัวตนจริง
พวกท่านกลับไม่ใช้ไม่พิจารณาแต่ปฏิเสธพระองค์

หม้อไหแจกันเจดีย์วิหารโบราณที่มนุษย์ขุดพบ
พวกท่านชื่นชมคนที่ปั้นที่สร้างว่าฝีมือสูงส่งยิ่งนัก
ชื่นชอบว่าเป็นวัฒนธรรมอันล้ำค่าน่าอนุรักษ์
ขณะที่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่านเอง
จนแม้แต่ทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวท่านที่ทรงสร้างไว้
มนุษย์ส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็นพระปรีชาของผู้สร้าง
ไปให้เครดิตว่า ธรรมชาติเป็นผู้สร้างธรรมชาติ
ทั้งๆที่ตอบตัวเองยังไม่ได้เลยสักนิดว่า
ทุกสิ่งใน "ธรรมชาติ" มันเกิดของมันเองได้จริงหรือ
ทำไมทุกสิ่งจึงลึกซึ้งแยบยลงดงามและลงตัวกัน
ซึ่งพวกท่านที่เป็นมนุษย์เองไม่อาจสร้างได้ด้วยซ้ำ

เสียใจจังเลยหนอที่ยังมีผู้คนจำนวนมากมาย
ยังมีแกะหลายตัว เจ้าสาวหลายราย
ยังจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดตนเองมิได้

ถ้ายังจำพระองค์มิได้
ก็กลับบ้านทางจิตวิญญาณไม่ได้
เพราะพระองค์ทรงออกแบบให้มนุษย์
ส่งจิตวิญญาณกลับบ้านเกิดแดนสุญตาได้
โดยต้องทำสามเหลี่ยมกับพระองค์
เพื่อให้พระองค์ทรงฉุดรั้งกลับคืนสถานเดียว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/12/2021