14 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14/12/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

14/12/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์โลกเสรีส่วนใหญ่
ถูกคนนำทางตาบอดชักจูง
ให้ตกหลุมพรางของ ความทุกข์
สืบทอดความเชื่อติดต่อกันมาอย่างยาวนาน
จนฝังตัวอยู่ในสัญญาขันธ์ซึ่งยากจะถ่ายถอน

การตกหลุมพราง "ความทุกข์" ของพวกท่าน
คล้ายกันกับคนที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำเชี่ยว
ซึ่งต้องเหนื่อยหนักกับการแหวกว่ายลอยคอ
เพื่อนำพาตัวเองไปยังจุดหมายที่ต้องการได้
อย่างมีชีวิตรอดและปลอดภัย

ความทุกข์ของคนๆนี้มี 2 มิติ คือ
ความทุกข์ทางกายซึ่งเป็นความเหนื่อยยาก
จากการต่อสู้กับกระแสน้ำเชี่ยวและการพยุงตัว
ขณะแหวกว่ายไปสู่จุดหมายปลายทาง
กับความทุกข์ในมิติที่สอง คือ ความทุกข์ทางใจ
ซึ่งเกิดจาก "จิตหยาบ" กระทำต่อตนเอง
โดยนำเอาสถานการณ์จริงที่กำลังเป็นปัญหานั้น
มาเป็นเงื่อนไข "ปรุงแต่ง" จนเกิดทุกข์ทางจิตขึ้น

เนื่องจากเงื่อนไขสถานการณ์นั้นมันเป็นลบ
จิตจึงสั่นสะเทือนเป็นด้านลบไปตามเงื่อนไขนั้น
จนเกิดอาการ "ทุกข์ใจ" ขึ้นโดยมิอาจระงับยับยั้งได้
เช่น จิตเกิดอาการกลัวจมน้ำตายเพราะหมดเรี่ยวแรง
จิตเกิดอาการวิตกกังวลว่าจะว่ายต้านน้ำเชี่ยวไม่ไหว
จิตเกิดอาการกลัวว่าตนจะว่ายไปไม่ถึงฝั่งฝัน
จิตเกิดอาการกลัวว่าจะว่ายไปเจอจระเข้กลางทาง

คนที่เกิดอาการ "หลงทุกข์" ก็คือ
คนที่พยายามจะกำจัดทุกข์หรือดับทุกข์ที่ในจิตใจตน
ขณะที่ตนกำลังอยู่ในท่ามกลางน้ำเชี่ยวนั้นแหละ
มันหมายความว่าท่านกำลังมองปัญหาแค่มิติเดียว
เพราะจิตท่านยึดติดใน "อัตตา" ตัวกูของกูใช่หรือไม่
ซึ่งหมายถึงอาการ "รักตัวกลัวตาย" เป็นที่สุดนั่นเอง
ท่านจึงใส่ใจใยดีที่จะจัดการกันแต่ตัวทุกข์ที่ในจิต

เราขอถามท่านว่า
ขณะกำลังจะจมน้ำตายจนเกิดอาการกลัว
ปัญหาที่แท้จริงของท่านคือทำอย่างไรจึงไม่จมน้ำ
หรือความกลัวจะจมน้ำอันหมายถึงความทุกข์ใจ
ปัญหาไหนยิ่งใหญ่กว่าสำคัญกว่ากันแน่

พวกท่านหนีทุกข์กลัวทุกข์พยายามดับทุกข์ที่ใจ
โดยไม่ใส่ใจปัญหาว่าทำอย่างไรจึงไม่จมน้ำตาย
ท่านคิดว่าเป็นวิธีที่คิดที่ถูกต้องหรือไม่ล่ะ
เราเชื่อว่ากว่าจะจัดการกับ "ความกลัว" ได้สำเร็จ
เห็นทีจักต้องจมน้ำตายเสียก่อนเป็นแน่แท้

ในชีวิตประจำวันของท่านก็เหมือนกัน
สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ
ซึ่งตัวท่านต้องพบพานผ่านเผชิญนั้น
ถ้ามิใช่ปัญหาที่เกิดจากท่านเป็นผู้ก่อมันขึ้นมาเอง
ก็เป็นปัญหาที่เกิดจากคนรอบข้างท่านหยิบยื่นมาให้

ท่านจงคิดพิจารณาดูเองก็ได้ว่า
ที่ท่านเผชิญปัญหาใดๆในชีวิตแล้วเกิดทุกข์ใจนั้น
สถานการณ์มันไม่ต่างกันเลยกับคนที่กำลังว่ายน้ำ
แล้วเกิดปัญหาทางกายบานปลายเข้าไปทุกข์ถึงใจ

ท่านลองตรองดูเถิดว่า
ใครสั่งให้ท่านลงไปว่ายอยู่ในน้ำเชี่ยวนั้น
มันเป็นความประสงค์ของตัวท่านเอง
มันเป็นสถานการณ์ที่ท่านเลือกมันเอง
หรือมนุษย์ทุกคนต่างล้วนต้องเป็นเช่นท่าน
ใช่หรือไม่

ถ้ามันใช่...เพราะมนุษย์ทุกคน
ต้องลงไปแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเชี่ยวกันทั้งนั้น
ในชีวิตของทุกคนจึงต้องเผชิญกับปัญหาคล้ายกัน
แล้วท่านจะเกิดทุกข์ใจไปทำไมใครๆก็เหมือนกัน

ใยไม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่จากเดิมที่ว่า
ปัญหาเป็นที่มาแห่งทุกข์ใจ
เปลี่ยนใหม่ว่า...ปัญหาเป็นที่มาแห่งปัญญา
คิดได้แบบนี้ความสงบสุขในจิตใจก็เกิดแล้ว

นี่กลับจะคิดขึ้นจากน้ำเพราะว่ายน้ำแล้วทุกข์ใจ
แปลว่าจะไม่ขอมาเกิดอีกเพราะไม่อยากว่ายน้ำ
หรือเพราะไม่อยากเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
ทั้งๆที่พวกท่านยังไม่เคยหาคำตอบบ้างเลยว่า
จิตวิญญาณของตนมาจากไหน ใครให้มา
จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
เมื่อเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
พวกท่านจึงเป็น นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง กันไม่ได้

อีกคำตอบหนึ่งนะ
ถ้ามันใช่...หรือเป็น สถานการณ์ที่เลือกได้
ท่านจะจมปลักอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
แล้วนั่งๆนอนๆอมทุกข์อยู่ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ทำไมท่านไม่เลือกที่จะออกมาจากปัญหานั้นล่ะ
โดยขึ้นมาจากน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นเสียทันที
เพียงแค่ท่านตัดสินใจใหม่โดยไม่ฝืนใจทำต่อ
ความทุกข์ทางใจทั้งหลายมันก็จะมลายหายสิ้น
เพราะเหตุแห่งทุกข์ใจมันไม่มีแล้วนั่นเอง

นอกจากนั้น
การเลือกที่จะพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามทุกข์
การเลือกที่จะพึ่งพาเจ้าลัทธิภูติผีปีศาจของขลัง
การเลือกเข้าป่าเข้าวัดเพื่อทำจิตให้สงบชั่วคราว
การเลือกที่จะพึ่งพาอุตริอวิชชาหรือพึ่งพาโค้ช
เพราะพวกท่านออกจากความทุกข์นั้นๆไม่ได้
การทำเช่นนั้นมันช่วยให้ท่านพ้นทุกข์ได้จริงหรือ

ในเมื่อพระศาสดาของท่านทั้งหลายเอง
ก็ยังเคยตรัสเตือนสติพวกท่านเอาไว้แล้วว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทรงเตือนนานนับพันปีแล้ว
ใยจึงไม่เชื่อฟังแล้วปฏิบัติธรรมตามพระองค์ล่ะ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนก็ช่วยท่านไม่ได้
เพราะยามหิวกระหายท่านต้องกินเองดื่มเอง
จะให้คนอื่นอิ่มแทนดับกระหายแทนมิได้

เจ้าลัทธิภูติผีปีศาจของขลังทั้งหลาย
ท่านหวังจะพึ่งพวกนี้ดับทุกข์ในจิตใจท่านหรือ
ในเมื่อพวกเจ้าลัทธิเองก็ยังมีปัญหาชีวิต
จนติดอยู่กับความทุกข์เพราะยังแก้ไขไม่ได้
ถ้าพวกเขาพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอนแล้ว
คงจะไม่พยายามทำตนเป็นเจ้าลัทธิกันอยู่หรอก

ภูติผีปีศาจก็เช่นกัน
ต่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีฤทธิเดชมากแค่ไหน
ก็เป็นได้แค่เพียงจิตวิญญาณผู้หลงมิติ
ซึ่งมีทุกข์มากกว่ามนุษย์อย่างพวกท่านเสียอีก
เพราะท่านต้องมีส่วนบุญส่วนกุศลเซ่นไหว้
เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทนพวกเขามิใช่หรือ
เนื่องจากพวกเขามีทุกข์เพราะทำบุญสุนทานมิได้

เพราะพวกเขามีแค่มิติเดียวคือกล่องจิตวิญญาณ
พวกเขาไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายหยาบ
จึงบำบัดทุกข์ทางจิตวิญญาณของตนเองไม่ได้
จะทำบุญสุนทานแบบพวกท่านก็ทำไม่ได้
พวกท่านคิดจะพึ่งผู้ที่ยังพึ่งตัวเองไม่ได้กันทำไม

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกทางแก้ที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

การมีทุกข์แล้วหนีเข้าป่าเข้าวัด
เพื่อหาที่พึ่งทางจิตทำให้จิตสงบสงัดก็เช่นกัน
มันเป็นวิธีการด้านจิตวิทยาในการบรรเทาทุกข์
ด้วยการพาตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมที่มีปัญหา
ไปสู่สถานที่ใหม่สิ่งแวดล้อมใหม่กิจกรรมใหม่ๆ
เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ และนั่งกรรมฐานสมาธิ
ซึ่งมันจะช่วยให้ตัวท่านนั้นจิตสงบเย็นลงได้
เพราะละลืมเงื่อนไขลบเดิมที่ทำให้ทุกข์ลงชั่วคราว

ระหว่างอยู่ป่าอยู่วัดที่สงบสงัด
ท่านจะผ่อนคลายหายทุกข์ใจไปได้มากใช่ไหม

ถ้าใช่...นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่านหลงทำ
แต่เมื่อกลับบ้านกลับสังคมสู่สิ่งแวดล้อมเดิม
ความสบายใจคลายทุกข์ตรงนั้นก็จะเปลี่ยนไป
พวกท่านจะกลับคืนบ้านมาทุกข์ใจอยู่อย่างเดิมอีก
แม้จะเวียนเข้าเวียนออกจากป่าจากวัดสักกี่ครั้ง
ก็ไม่อาจจะดับทุกข์ใจได้อย่างแท้จริงเลย

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

ส่วนการเลือกที่จะพึ่งพาอุตริอวิชชา
เช่น การแก้กรรม การตัดกรรม การสะเดาะเคราะห์
การบวงสรวงเทพเทวดาภูติผีทั้งหลาย
เพื่อร้องขอให้พวกเขาช่วยเหลือท่านให้พ้นทุกข์
โดยที่ท่านยังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครช่วยได้จริงไหม
ถ้าช่วยได้พวกเขาจะช่วยท่านได้ด้วยวิธีการใด
พวกเขาจะดลบันดาลให้ท่านได้จริงหรือไม่

เพราะ "ความเชื่อ" ท่านจึงรู้สึกสบายใจที่ได้ทำ
แต่ความจริงแล้วความทุกข์นั้นยังคงแฝงจิตอยู่
โดยรอจังหวะเวลาที่จะโผล่ขึ้นมาเล่นงานท่านอีก

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เรื่องของความทุกข์นั้นแท้จริงแล้วมิใช่เรื่องใหญ่
เรื่องของทุกข์ใจก็มิใช่เรื่องยากที่จะจัดการมัน
แต่เพราะพวกท่านไปเชื่อตามคนนำทางตาบอด
จึงทำเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นเรื่องยากไป
เพราะแทนที่จะไปมุ่งจัดการ ความทุกข์ที่ในใจ
เปลี่ยนมาจัดการแก้ไขที่ สาเหตุแห่งทุกข์ แทน
จิตของท่านก็จะสุขสงบเพราะความว่างได้แล้ว

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีที่เรากล่าวมา
มันจึงมิใช่ทางเลือกทางแก้ที่ถูกต้องแต่อย่างใด
เพราะนอกจากจะแก้ทุกข์ดับทุกข์ยังมิได้แล้ว
มันอาจจะเพิ่มทุกข์มากขึ้นไปอีกก็ได้
เนื่องจากพวกท่าน เกาผิดที่คัน นั่นแหละท่าน

พี่ๆน้องๆทั้งหลาย

ความทุกข์ที่ในใจท่าน
มันเกิดจากการใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ด้วย กิเลส หรือ ความรู้สึก เป็น "กรรมจักร"
ซึ่งพระบิดาทรงออกแบบที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ให้
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
จากประสบการณ์จริงในชีวิตจริงนั่นแหละ
ซึ่งมันเป็นการ บรรลุธรรม อย่างหนึ่งนั่นเอง

เพราะฉุกคิดกันไม่ได้ว่า
ที่ท่านทั้งหลายหนีกฎแห่งกรรมกันไม่พ้น
จนต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏนั้น
เพราะพวกท่านติดพันอยู่กับ กรรมจักร
โดยแทรกแซงกรรมจักรที่เป็นอัตโนมัติ
ให้มันสั่นสะเทือนเป็น ธรรมจักร แทนไม่ได้

เมื่อไม่รู้ความจริงนี้เพราะไม่ฉุกคิด
คนนำทางตาบอดจึงพาท่านหลงทุกข์ทันที
ทั้งๆที่ตนเองใช้ขันธ์ 5 ไม่เป็นจึงเกิดทุกข์
แต่กลับจับเอาขันธ์ 5 เป็นจำเลยแทน
จึงพยายามจะดับทุกข์ดับอัตตาดับขันธ์ห้า
เพียรพยายามกันมาหลายภพชาติก็ไม่สำเร็จ

เพราะขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ที่มอบให้จิตหยาบใช้แทนในการเป็นคนสองมิติ
เพื่อสร้างพลังงานความรักช่วยให้โลกหมุน
หรือใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกที่คุ้นหูกันอยู่นั่นแหละ
ขันธ์ 5 จึงจะทำลายทิ้งไม่ได้

นอกจากนั้นไม่รู้ว่าจะเสียเวลาเป็นภพชาติ
เพื่อพยายามจะดับขันธ์ 5 กันไปทำไม
เมื่อขันธ์ 5 ดับเองได้ทันทีที่จิตวิญญาณตาย
เพื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติหน้า

ด้วยเหตุนี้เองพระบิดาฯจึงตรัสว่า
ที่ท่านทั้งหลายยังติดทุกข์กันอยู่
เพราะ "ความโง่" คือมีสมองโตแต่ไม่รู้จักใช้
เพราะ "ความโง่" คือมีอายตนะปกติครบถ้วน
กลับพยายามไม่ใช้มันโดยจงใจทำให้มันพิการ
จึงไม่อาจหมุนธรรมจักรมอบความรักให้โลกได้
เพราะวันๆมัวแต่นั่งมองดูจิตตนเองทำเพื่อตนเอง
จนจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนต้องเศร้าหมอง
เพราะรู้ดีว่าเมื่อกลับมาเกิดชาติใหม่
จิตหยาบของตนจะยิ่งทำตัวเหลวไหล
จนเสียชาติเกิดเหมือนทุกภพชาติที่แล้วๆมา

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
ลูกขอพระบิดาทรงประทานพระพรให้
พี่ๆน้องๆคนใดที่ได้อ่านพระโอวาทบทนี้
ขอให้พวกเขามีสติทางวิญญาณด้วยเถิด
ขอพระองค์ทรงโปรดประทานปัญญา
ให้เข้าถึงพระอนุตรธรรมโอวาทของพระองค์
ได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ด้วยเถิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/12/2021