06 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 06/12/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล 

06/12/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือ องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นไว้ใน "เอกภพ"
ซึ่งเป็น อนันตจักรวาล อันไพศาลนี้

โดยพระประสงค์ที่แท้จริงที่ทรงสร้าง
เอกภพและสรรพสิ่งต่างๆเอาไว้ข้างใน
ก็เพื่อที่จะใช้เป็น ห้องทดลอง ของพระองค์
เพราะทรงปรารถนาที่จะ เรียนรู้ ว่า
จะทรงสามารถที่จะทำที่จะสร้างสิ่งใดได้บ้าง

เพราะเหตุดังว่านี้เอง
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเอกภพนี้
จึงบรรจุเอาไว้ด้วยสรรพสิ่งต่างๆอันหลากหลาย
จึงเต็มไปด้วยปรากฏการณ์และรูปแบบอยู่มากมาย
จึงเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้และองค์ธรรมในหลากมิติ

วิธีการเรียนรู้ของพระองค์ก็คือ การสร้างใหม่
โดยกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจน
แล้วทรงหาวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์นั้น
ดังตัวอย่างจากเรื่องจริงต่อไปนี้

1.ทรงปรารถนาที่จะมีห้องทดลองสักห้องหนึ่ง
เพื่อใช้สำหรับ "การเรียนรู้" ของพระองค์
โดยให้เป็นพื้นที่จำเพาะและมีขอบเขตจำกัด
ซึ่งสามารถบรรจุทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
บรรจุเรื่องราวรูปแบบและปรากฏการณ์ใดๆไว้ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
เป็นเป้าประสงค์อันดับแรกของการสร้าง

2.เมื่อทรงกำหนดเป้าประสงค์ในการสร้างแล้ว
พระองค์ต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงเป้าประสงค์นั้น
โดยจักต้องทรงเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะทรงสร้างห้องทดลองในมิติทางพลังงาน
ให้เป็นรูปธรรมตามที่ทรงพระดำริได้อย่างไร
ในที่สุดก็ทรงค้นพบความจริงในการสร้างได้ว่า

ขั้นแรก
จักต้อง "ปู" พลังงานใหม่จำนวนหนึ่ง
ลงไปบนสนามพลังงานที่เป็น "พระนิเวศน์" ก่อน

ขั้นที่สอง
พระองค์ต้องทรงเรียนรู้เป็นลำดับต่อไปอีกว่า
จะทรงใช้พลังงานใหม่ที่ปูไว้เรียบร้อยแล้วนั้น
สร้างห้องทดลองที่ทำด้วยพลังงานได้อย่างไร

ในที่สุดก็ทรงค้นพบความจริงว่า
ต้องทำให้อนุภาคของพลังงานใหม่ที่ทรงปูไว้นั้น
ฟุ้งกระจายตัวจนเป็นรูปธรรมตามที่ทรงออกแบบไว้
นั่นคือเป็นรูปทรงรีคล้ายชามสองใบประกบกัน
โดยพระองค์ทรงสร้างกาแล็กซี "ธารสายน้ำนม"
ให้มีลักษณะคล้ายใบพัดของเฮลิคอปเตอร์
เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางแนวระนาบของห้องทดลองนี้
โดยทรงกำหนดให้หมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้กาแล็กซีหมุนกวาดอนุภาคพลังงานที่ทรงปูไว้
เกิดการ "ฟุ้งกระจาย" ขยายตัวไปในแนวระนาบ

ขณะเดียวกัน
พระองค์ยังทรงกำหนดสร้างกาแล็กซีที่เล็กกว่า
เป็นจำนวนถึง 12,500 ล้านกาแล็กซี่
ให้เหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่อง
เพื่อช่วยกันทำให้อนุภาคพลังงานฟุ้งกระจาย
จนได้ห้องทดลองตามรูปแบบและขนาด
ที่ทรงออกแบบไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง

3.หลังจากทรงเริ่มต้นไว้ทั้งหมดนั้นแล้ว
พระองค์ก็ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆอีกมากมาย
ทั้งที่เป็นระบบเล็กและระบบใหญ่
โดยทุกระบบจะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตลอด
จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้
เพราะทรงกำหนดให้ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่เรากล่าวถึงงานสร้างเอกภพของพระองค์
โดยยกเอามาเพียงแค่เมื่อแรกสร้างเท่านั้น
เพราะต้องการจะบอกความจริงต่อพวกท่านว่า
สรรพสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติรายรอบตัวท่าน
ทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไปในจักรวาล
รวมทั้งที่เป็นบรรพบุรุษมนุษย์ของพวกท่านเอง
ล้วนเป็นพระบิดาหรือพระเจ้าทรงสร้างขึ้นทั้งสิ้น

เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก
หลังจากทรงสร้างสรรพสิ่งที่ว่านั้นไว้ก่อนแล้ว
พวกท่านจึงไม่มีผู้ใดเห็นการทรงงานของพระองค์
ภพชาติแรกของบรรพบุรุษมนุษย์ของพวกท่าน
หรือพวกท่านเองที่เวียนว่ายตายเกิดกันทุกภพชาติ
ก็ล้วนไม่มีใครได้แลเห็น "การสร้าง" ของพระองค์

ดังนั้น
มนุษย์ทั้งหลายที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดบนโลก
เมื่อโตใหญ่จนเริ่มจำความได้แล้วก็จริงอยู่
จะเรียกทุกสรรพสิ่งทุกปรากฎการณ์
ที่ตนพบเห็นนั้นว่ามันคือ ธรรมชาติ
มันเกิดจาก "ธรรมชาติ" หรือธรรมชาติเป็น ผู้สร้าง

พวกท่านส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อเรื่อง พระผู้สร้าง
ไม่เชื่อว่าตนมี พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ไม่เชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้า ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง
เพราะพวกท่านเหล่านั้นไม่เคยรู้เห็นพระองค์
เพราะพวกท่านเหล่านั้นใช้สติปัญญาที่มีอยู่
พิสูจน์ว่าพระเจ้าหรือพระผู้สร้างมีจริงไม่เป็น
โดยพยายามใช้แต่ "สองตาเนื้อ" ส่องพิสูจน์กัน
จึงไม่สามารถเข้าถึงความจริงที่จริงแท้ได้

ขณะที่พวกท่านผู้ปฏิเสธพระบิดา
กลับเชื่อคนนำทางตาบอดอย่างว่าง่าย
เช่น เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณว่ามีจริง

แต่ถ้าถามว่าจิตวิญญาณเป็นใครมาจากไหน
จิตวิญญาณมีตัวตนรูปลักษณ์แบบใด
จิตวิญญาณของพวกท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
คนนำทางตาบอดตอบว่า "อย่าถามเลย" อย่ารู้เลย
เพราะมันเป็น อจินไตย คิดมากไปเดี๋ยวเสียสติ
แต่มนุษย์ที่ปฏิเสธพระบิดากลับพากันเชื่อตาม
ทั้งๆที่ตนยังไม่รู้ความจริงหรือรู้จริงแต่ยังไม่เข้าใจ

ฟังคนนำทางตาบอดสอนว่า "นรก" มีจริง
แต่เมื่อถามว่า "ใครสร้างนรก" ก็ตอบไม่ได้
บอกได้แต่เพียงว่ามันเป็นเรื่อง "อจินไตย"
มนุษย์ที่ปฏิเสธพระบิดาทั้งหลาย
ก็ยังพากันเชื่อตามอย่างว่าง่ายอีกเช่นกัน

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าพวกท่านยังไม่เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตตปัญญา
พวกท่านก็จะกลายเป็นคน โง่ง่าย หรือ ลาดยาก
เพราะใช้ปัญญาของสมองสองซีกไม่เป็น

พวกท่านจะเป็นคน งมงาย หรือ งมง่าย
เพราะเชื่อง่ายๆในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้
เพราะปฏิเสธง่ายๆในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจ

การจะเป็นผู้บรรลุธรรม
ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย
หรือการจะประสบความสำเร็จในทางโลก
พวกท่านจะขาดความฉลาดทางปัญญา
ขาดความฉลาดทางอารมณ์และสังคมไม่ได้เลย

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6/12/2021