24 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (26) 24/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (26)


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ประดาธรรมาจารย์ซึ่งเป็นครู
หรือผู้นำทางจิตวิญญาณ
ของผู้ตามตาบอดทั้งหลายนั้น
จะถูกพิพากษาอย่างเข้มงวดกว่าคนอื่น

ที่ทรงเน้นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่า
คนนำทางอาจพาคนตาบอดหลงทางได้
ถ้าคนนำทางนั้นไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง
หรือยังสับสนในทิศทางที่จะไปอยู่
หรือยังไม่รู้ว่าทิศทางที่กำลังจะนำไป
มันผิดทิศผิดทางมันมิใช่ทิศทางที่ถูกต้อง

พระบิดาทรงพิจารณาแล้วว่า
ธรรมาจารย์ผู้นำทางเหล่านี้
ก็ไม่ต่างจากคนนำทางตาบอด
กำลังจูงคนตาบอดเดินทางนั่นแหละ

#คนนำทางตาบอด คือ
คนนำทางที่ยังมองไม่เห็นทางที่จะไป
คนนำทางที่ยังไม่รู้ทิศทางที่ถูกต้อง
คนนำทางที่หลงผิดคิดว่าตนรู้ทาง
คนนำทางที่คิดว่าทางที่ตนรู้นั้นถูกทาง

ถ้าพระบิดาทรงยอมให้
คนนำทางตาบอดผู้หลงผิดเหล่านี้
เป็นผู้นำทางคนตาบอดแล้ว

บุตรมนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้
จะสามารถนำพาพระจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นดั่งลูกแกะของพระเจ้า
เดินทางกลับสู่ประตูคอกแกะ
อันเป็นประตูมิติเพื่อการ "หลุดพ้น"
ตรง #ด่านนภาลัย
เพื่อผ่านออกไปจากอนันตจักรวาล
กลับคืนบ้านไปกราบพระบาทพระบิดา
ให้สมดังปรารถนากันได้อย่างไร

ในโลกยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา
ผลิตผลของการพากันเดินผิดทาง
ของประดาธรรมาจารย์ผู้นำทางตาบอด
คือ "สวรรค์มายา" ที่พระบิดามิทรงปลื้ม
เพราะเป็นแดนมายาของผู้ "หลงทาง"
ที่พาตนเอง #หลุดลอย ไปห้อยอยู่บนนั้น
เนื่องจากหลงผิดคิดว่าตนไปถูกทาง
กว่าจะรู้ว่า "หลุดพ้น" มิได้
ก็พาตนเอง "หลุดลอย" ไปไกลแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
พระบิดาบนฟ้าสวรรค์กล่าวต่อเราว่า

สาเหตุที่พวกเขาพากัน "หลุดลอย"
ก็เพราะว่า "หลงทาง"
สาเหตุที่พวกเขาหลงทาง
ก็เพราะว่าพวกเขา "หลงทุกข์"
โดยพวกเขาเชื่อกันว่าการเกิดมามีชีวิต
เป็นมนุษย์อยู่ในสังคมกับคนหมู่มากนั้น
มันมากปัญหาล้วนพาให้ทุกข์ทั้งสิ้น

พี่ๆน้องๆเหล่านี้จึงพากันปลีกวิเวก
จึงพยายามจะนั่งดับทุกข์กันที่ "จิต"
เพราะเชื่อว่าจิตเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
รู้ว่าจิตเป็นต้นเหตุแห่งการมีสังสารวัฏ
คือการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณ

ถ้าฝึกจิตให้ไม่อะไรกับอะไรเสียได้
ก็เชื่อว่าตนจะไม่ "ทุกข์" อีก
เมื่อจิตว่างไปจากทุกข์ก็ว่างไปจากกรรม
เหตุแห่งการเกิดมีภพชาติใหม่จึงไม่มี
เมื่อตนเองตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกได้
ก็เชื่อว่าตนนั้นพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้ว

แต่ความจริงที่จริงแท้กลับเป็นว่า
ทางสายที่เลือกเดินนี้
มิอาจทำให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริงได้
เพราะจิตวิญญาณแม้ไม่กลับมาเกิดใหม่
แต่ก็ยัง "หลุดลอย" อยู่ในอนันตจักรวาล
ยังเกิดมีอัตตามีตัวกูของกูอยู่ดังเดิม
เพียงแต่ย้ายที่เกิดจากโลกมนุษย์
หลุดลอยไปเกิดใหม่อยู่บนสวรรค์มายา

จิตที่ต้องการพ้นทุกข์ก็ยังคงทุกข์อยู่
เพราะไม่รู้ว่าตนจะไปต่อที่ไหน
ไม่รู้ว่าตนจะไปต่อจากตรงนั้นได้อย่างไร

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงมีพระเมตตา
ให้เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เหตุที่ประดาธรรมาจารย์ท่าน "หลงทุกข์"
ก็เพราะว่าท่านลืม "พันธสัญญา 6"
ที่จิตวิญญาณได้ให้สัญญากับพระบิดาไว้
ก่อนที่จะเข้ามาจุติเป็นมนุษย์
ในภพชาติแรกบนโลกเสรีนี้นั่นเอง

พันธสัญญา 6 ประการที่ว่านี้
เป็นภาระหน้าที่หลักของจิตวิญญาณ
ที่จักต้องปฏิบัติให้ลุล่วง
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าท่านผู้ใดมิให้สัญญาต่อพระบิดา
ท่านผู้นั้นก็จะมิได้รับโอกาสให้มาเกิด
เพราะโลกเสรีมิใช่สถานที่ท่องเที่ยว
แต่เป็นห้องเรียนที่ผู้มาเกิดต้องเรียนรู้
และต้องทำตามพันธสัญญาให้ครบถ้วน

สิ่งแรกที่ผู้จะมาเกิดเป็นมนุษย์ต้องทำ
คือการวางแผนเขียนบทละครร่วมกัน
ที่เรียกว่า #ชะตาชีวิต

โดยบทละครที่จะแสดงร่วมกันก็คือ
"เงื่อนไข" ทั้งด้านดีและไม่ดี
อันหมายถึงพฤติกรรมที่ชอบและไม่ชอบ
ที่ทุกคนจะแสดงออกหรือกระทำต่อกัน
ในชีวิตประจำวันในครอบครัวและสังคม
เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
สั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกต่อกัน
เป็นความรักเพื่อให้ให้จงได้
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา
กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นต้น
โดยไม่มีเงื่อนไขว่าถ้าใครทำดีจะดีตอบ
ถ้าใครทำชั่วให้โกรธแค้นก็จะทำชั่วตอบ

พระบิดาทรงกล่าวต่อเราอีกว่า

#บทละครชีวิต
ที่พวกท่านเขียนกันขึ้นมาเองนั้น
ก็เพื่อทดสอบจิตสามนึกตนเองว่า
จะรักกันได้ให้อภัยกันเป็นหรือไม่
จะเข้าถึงการใช้ปัญญาของสมองสองซีก
ให้สมกับการเกิดมาเป็น "มนุษย์" ได้ไหม

พระองค์มิได้ให้พวกท่าน
มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อการ #หลงทุกข์
จนพากัน "หลงทาง" เพราะอยากหนีทุกข์
จึงพากันละเลยเหลวไหล
ภารกิจทางจิตวิญญาณไปอย่างไร้สัจจะ
ตามที่ตนเคยให้ไว้ต่อองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านเอง
เพราะเกลียดทุกข์กลัวทุกข์จนหมดสง่า
จึงพากันสอบตกบททดสอบของตนเอง

ดังนั้น
การหนีสังคมเข้าป่าหาที่วิเวก
จึงเป็นการละทิ้งพันธสัญญา 6
อันเป็นการผิดสัจจะต่อพระบิดา
ผู้ทรงอนุญาตให้แก่นแท้ของท่านมาเกิด
และยังละเลยหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่ตนเองจักต้องทำให้ลุล่วงอีกด้วย

เพราะคนนำทางเหล่านี้ไม่รู้ว่า

1. จิตวิญญาณตนเองเป็นใคร
มาจากไหน ใครอนุญาตให้มา

2. มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

3. เส้นทางหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
เมื่อเสร็จภารกิจโลกแล้วต้องไปทางใด

ธรรมาจารย์ผู้นำทางเหล่านี้ไม่รู้ว่า
ปัญหาชีวิต ปัญหางาน
ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม
ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ถูกวางแผนมาแล้ว
ทั้งจากชะตาชีวิตในภพชาติแรก
และจาก "ชะตากรรม"
ที่สร้างทับซ้อน "ชะตาชีวิต" ขึ้นมาใหม่
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์โลกนี้แล้ว

ไม่ว่าชะตาที่ต้องเผชิญเป็นแบบใด
ท่านมีหน้าที่ต้องรักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น
จะตอบโต้ด้วยการทำชั่วตอบสนองมิได้
เพราะ "ความรัก" จากจิตมนุษย์
เป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่มันจะช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ด้วยอัตราเร็วคงที่และต่อเนื่องได้
ดาวเคราะห์โลกจึงจะสมดุล

นี่คือแผนการของพระผู้สร้าง
ที่พวกท่านขันอาสามาเกิดกันยกใหญ่
เพื่อทำหน้าที่ในพระนามของพระองค์
เพื่อเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า
ในอันที่จะทำให้อนันตจักรวาล
หรือที่มนุษย์เรียกว่า "เอกภพ"
ซึ่งเป็นห้องทดลองของพระองค์
คงความสมดุลอยู่ชั่วนิรันดร
ด้วยการใช้เมตตาธรรมคือพลังความรัก
ที่ท่านทั้งหลายมอบให้แก่กันและกัน
ช่วยค้ำจุนดาวโลกนี้ไว้ให้ได้เท่านั้น
เพราะดาวโลกเป็นผู้ค้ำจุนสมดุลเอกภพ

พระบิดาทรงกล่าวต่อเราว่า

เพราะบุตรมนุษย์ของพระองค์
ยึดติดกับการมีพระศาสดาพระองค์เดียว
ยึดติดกับพระคัมภีร์เล่มเดียว
สัจธรรมที่ร่ำเรียนเพียรรู้จึงขาดแหว่ง
สัจธรรมความจริงที่ขาดแหว่งไป
ก็คือ #อนุตรธรรม ความจริงที่เหนือโลก
ที่พระบิดาทรงเมตตา
ให้เราเปิดเผยความจริง
ที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าไม่รู้
ให้ท่านได้รู้ข้างต้นนั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ
ที่พระองค์ส่งเรามาเพื่อบอกความจริงนี้
มิเช่นนั้นเส้นทางการหลุดลอย
จะมีจิตวิญญาณที่หลงทางอย่างหนาแน่น
ขณะที่เส้นทางการหลุดพ้นจักเงียบเหงา
และดาวโลกเสรีนี้ก็จะเสียสมดุลทุกมิติ
เพราะขาดแคลนพลังงานความรัก
จากจิตมนุษย์ทั้งหลาย

เพราะคนส่วนหนึ่ง
พากันหลงทุกข์หลงทางกันอยู่
อีกส่วนหนึ่งตกเป็นทาสกิเลสตัณหากันอยู่
จนมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยพิบัตินั่นล่ะ

เราจึงขอกล่าวความจริงว่า

ถ้าท่านผิดสัจจะต่อพระบิดา
ไม่ยอมทำหน้าที่ตามพันธสัญญา 6
แต่พยายามที่จะหนีทุกข์อยู่ร่ำไป
ทั้งชีวิตมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อตนเองเท่านั้น

ถ้าท่านไม่ยอมรับฟังเรา
ผู้ที่พระบิดาทรงเมตตา
ให้กลับมาช่วยเหลือพวกท่าน


เรายืนยันได้เลยว่า
ท่านจะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้น
กลับคืนบ้านเกิดของจิตวิญญาณ
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาลไม่ได้แน่

พระบิดาทรงเมตตาชี้ให้ท่านเห็นว่า
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ที่มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น
พระองค์ทรงดับขันธปรินิพพาน
ก็ตอนที่พระองค์มีภพชาติเป็นมนุษย์

เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว
พระจิตวิญญาณก็มิได้ทรงหลงทาง
หลุดลอยคว้างไปเกิดบนสวรรค์มายา
ไปเป็นเทพเทวดามหาพรหมอยู่บนนั้น
โดยละทิ้งภารกิจจิตจักรวาลที่ทรงถือมา
ติดค้างเอาไว้บนโลกที่อยู่เบื้องล่าง
เหมือนอย่างคนนำทางตาบอด
พยายามจะสั่งสอนกันจนทุกวันนี้

ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงปรินิพพาน
พระองค์ได้ทรงมีปฐมเทศนา
ต่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้ารูปธรรมว่า
สัจธรรมความจริงอันยิ่งใหญ่
ที่พระองค์ทรงค้นพบได้ในที่สุดก็คือ

มนุษย์โลกทุกคนต้องเรียนรู้
ที่จะหมุนธรรมจักรในตนเองให้ได้
ด้วยการใช้อายตนะทั้งหกที่มีอยู่
สัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งรอบตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
ให้มนุษย์สั่นสะเทือนจิตใจตนเอง
เป็นความรัก ความเมตตาให้จงได้
อย่าสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาเด็ดขาด

โดยท่านจะสามารถรักและเมตตา
คนที่ไม่น่ารักและยอมรับสิ่งที่ไม่ชอบได้
ท่านก็จักต้องใช้ "จิตปัญญา" ของสมอง
ให้สมกับการเป็นพุทธะให้จงได้
ซึ่งพระองค์ทรงสอนวิธีคิด
พระองค์ทรงสอนวิธีปฏิบัติเอาไว้แล้ว
เพื่อให้เข้าถึงพลังอำนาจในตนเองให้ได้
ตามหลักการ "พึ่งตนเอง" โดยแท้

โดยแก่นแท้คำสอนของพระพุทธองค์
ซึ่งเป็น #คนนำทางตาดี ของใครที่ตาบอด
ก็คือสัจธรรมบทสำคัญที่ว่าด้วย
"#ธรรมจักรกัปวัฒนสูตร" นั่นเอง

สัจธรรมบทนี้ทรงสอนให้มนุษย์
ทำหน้าที่หมุนธรรมจักรในตนเอง
ด้วยความรักความเมตตา
และการอโหสิกรรมหรืออภัยกันให้ได้
ถ้าใครทำสำเร็จก็ได้เป็น "มนุษย์"
ถ้ายังทำไม่สำเร็จก็เป็นได้แค่ "คน"

ถ้าท่านหมุนธรรมจักรสำเร็จ
ด้วยการรักคนไม่น่ารักได้
ให้อภัยคนไม่น่าให้อภัยเป็น
ไม่ทำชั่วตามคนชั่วที่ทำร้ายท่าน
และไม่ล่วงประเวณี(ก้าวล่วงผู้บริสุทธิ์)
มันจะช่วยให้จิตผลิตพลังงานความรัก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กมอบให้โลก
เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองต่อเนื่อง
เมื่อหมุนรอบตัวเองได้โลกก็จะสมดุุล

เราขอถามท่านทั้งหลายว่า
คนนำทางคนไหนเล่า
ที่สอนพวกท่านไว้ด้วยพระอมตะวาจาว่า
#เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
หากมิใช่องค์พระ "ตถาคต"
ผู้มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นดอกหรือ
มิใช่พระผู้ที่ท่านรับเป็นพระศาสดาหรือ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้แล้วนั้น
กับที่เราพระบุตรเอกเป็นผู้กล่าว
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลนั้น
มันผิดแผกแตกต่างกันที่ตรงไหน

มันเป็นคำสื่อสอนที่เข้าใจง่ายเกินไป
จึงปฏิเสธเราเพราะรู้สึกไม่น่าเชื่อถือ
ทั้งๆที่ท่านยังมิได้ใช้สติปัญญา
คิดพิจารณาอย่างตั้งใจเลยเช่นนั้นหรือ

เรายืนยันว่า
ปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
ด้วยมหันตภัยพิบัติรุนแรง
กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกนี้
แดนสวรรค์มายาและโลกมนุษย์
จักต้องถูกชำระในทุกมิติ
เพื่อนำมนุษย์และโลก
เปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ในเร็ววัน

ผู้ที่ยังหลงตามคนนำทางตาบอดอยู่
ผู้ที่ยังไม่ยอมรับฟังเรา
ผู้ที่จำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้
ใครที่ก้าวล่วงเราและภารกิจพระบิดา

จักเป็นพวงองุ่นที่ถูกโยนลงในบ่อย่ำองุ่น
จักมีแผลพุพองทั่วตัวจนต้องกัดลิ้นตนเอง
จักตกลงไปในบ่อไฟร้อนที่มีกลิ่นกำมะถัน
อย่างใดอย่างหนึ่งในทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นการพิพากษาตนเองแท้ๆ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

24-01-2019