09 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (23) 9/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (23)

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เราแลเห็นเจ้าสาวอีกกลุ่มหนึ่ง

ผู้ที่ยังเฝ้ารอเจ้าบ่าวกลับมารับอยู่มิรู้ลืม

โดยไม่ไปหลงเดินตามคนนำทางตาบอด

ให้พาหลงทางไปขึ้นเขาวงกตอันคดเคี้ยว

เพราะไม่รู้ว่าประตูเรือนหอต้องไปทางใด

เหมือนเจ้าสาวพวกแรกผู้น่าสงสาร

 

เจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวกลับมารับ

เพื่อจูงเข้าสู่ประตูเรือนหอ

ตรง "ด่านนภาลัย" นั้น

ต่างรอคอยด้วยความหวังและมั่นคง

 

พวกเขาผู้เฝ้ารอเหล่านั้น

เปรียบได้กับเจ้าสาว 10 คน

ที่ถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าวอยู่

 

โดยห้าคนเป็นคนโง่

อีกห้าคนเป็นคนฉลาด

 

หญิงโง่ถือตะเกียงออกไป

แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย

ส่วนหญิงฉลาดนั้น

นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมตะเกียง

ทุกคนต่างง่วงและหลับไป

เพราะเจ้าบ่าวมาช้า

 

ในที่นี้ #หญิงโง่ เราหมายถึง

ผู้ถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว

แต่เธอมิได้นำน้ำมันไปด้วยนั้น

ที่หล่อนอยู่ฝ่าย "โง่" ก็เป็นเพราะว่า

เธอมิได้นำน้ำมันใส่ขวดออกไปด้วย

เพราะเธอลืมคิดไปว่า

ตะเกียงไร้น้ำมันแม้ถือไว้ก็ไร้ประโยชน์

เพราะจุดอย่างไรก็จุดไม่ติด

เมื่อตะเกียงนั้นจุดไฟไม่ติด

ก็ให้แสงส่องทางแก่เจ้าของมิได้

 

ส่วน #หญิงฉลาด เราหมายถึง

ผู้นำน้ำมันใส่ขวดออกไปพร้อมตะเกียง

เพื่อรอเจ้าบ่าวกลับมาจูงเข้าสู่ประตูหอด้วย

เพราะรู้ว่าตะเกียงที่จะให้แสงสว่างได้

ต้องมีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คำว่า "เจ้าสาว" ที่เรากล่าวนี้หมายถึง

พี่ๆน้องๆนานาชาติซึ่งดำรงอยู่บนโลกเสรี

ผู้ที่รู้ตัวดีว่าตนยังมิอาจพึ่งพาตนเอง

ช่วยนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตน

ให้หลุดพ้นออกไปจาก "#อนันตจักรวาล"

หรือที่พระบิดาทรงเรียกว่า "เอกภพ" นี้ได้

 

เพราะไม่รู้ว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร

เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณต้องไปทางไหน

เพราะไม่รู้ว่า "หลุดพ้น" คือ อย่างไร

 

พี่ๆน้องๆทั้งหลายผู้รอคอยเหล่านี้

เป็นผู้ปรารถนาการหลุดพ้นที่แท้จริง

แต่เมื่อยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้

พวกเขาจึงต้องการ "คนนำทางตาดี"

ผู้เชี่ยวชาญเส้นทางและวิธีการเดินทาง

ให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา

ด้วยจิตใจจดจ่อเฝ้ารอคอยท่านองค์นั้น

เหมือนดั่งเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวมารับ

เพื่อจูงมือเข้าสู่ "ประตูนิพพาน"

อย่างตื่นเต้นและตื่นตัวรออยู่ตลอดเวลา

 

แต่เนื่องจากเจ้าบ่าว

อันหมายถึง "พระบุตรเอก" พระองค์นั้น

ทรงกลับไปเตรียมเรือนหอไว้ให้เจ้าสาว

ที่โอ่อ่าอลังการณ์อันสมควรแก่สถานภาพ

จึงกว่าจะพร้อมสรรพต้องใช้เวลาอยู่นานโข

เจ้าสาวที่รอคอยทุกคนจึงง่วงและหลับไป

เพราะเจ้าบ่าวเดินทางกลับมารับตัวช้า

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

สำหรับ "ประตูหอ" ในที่นี้เราหมายถึง

 

ประตูมิติที่พระบิดาทรงสร้างไว้

ให้เป็นทางผ่านเข้าออกของจิตวิญญาณ

ระหว่างแดน "อนันตจักรวาล" หรือเอกภพ

ซึ่งเป็นเสมือนห้องทดลองของพระเจ้า

กับแดน "#จิตจักรวาล" หรือ แดนสุญตา

ซึ่งเป็นราชอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ที่เป็นถิ่นเกิดของจิตวิญญาณมนุษย์

 

ประตูเรือนหอที่ว่านี้

ก็คือ "ประตูนิพพาน"

พระบิดาฯทรงเรียกขานว่า

#ด่านนภาลัย

 

ในอดีตกาลนั้นเรายังเคยกล่าวถึง

ประตูมิติซึ่งเป็นประตูทางออก

ของประดาผู้หลุดพ้นนี้ว่า

เป็นประตูคอกแกะเพียงประตูเดียว

ที่ฝูงแกะคือจิตวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย

จักต้องเดินผ่านกลับเข้าคอกทางประตูนี้

ซึ่ง "เรา" มีหน้าที่เป็น "คนดูแลแกะ"

เราจึงมีหน้าที่เป็นประตูมิติบานนี้ด้วย

 

เพราะเหตุนี้เองแกะตัวใด

ต้องการจะกลับเข้าคอกคือกลับบ้าน

หมายถึงจะออกไปจากโลกและเอกภพ

จึงต้องก้าวผ่านมาทางเราเท่านั้น

จะผ่านไปทางอื่นไม่ได้

จะพยายามปีนรั้วกลับเข้าคอก

ทำตัวเหมือนโจร

ตามที่คนนำทางตาบอด

ซึ่งเป็น "เด็กเลี้ยงแกะ" ชี้นำไม่ได้

เพราะเด็กเลี้ยงแกะเป็นใครก็ไม่รู้

แต่คนเลี้ยงแกะพระบิดาทรงเป็นผู้แต่งตั้ง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน

มีเสียงตะโกนบอกว่า

"เจ้าบ่าวมาแล้ว...เจ้าบ่าวมาแล้ว

ออกไปรับเจ้าบ่าวกันเถอะ"

 

เราเห็นหญิงสาวพวกที่รอเจ้าบ่าวอยู่

จนง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า

มีจำนวนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ที่ตื่นขึ้นมาแล้วแต่งตะเกียง

 

เราได้ยินหญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า

"ขอน้ำมันให้เราบ้างสิเธอ

เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว"

 

หญิงฉลาดจึงตอบว่า

 

"ไม่ได้ ไม่ได้....

เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเรา

และไม่พอสำหรับพวกเธอด้วย

จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า"

 

ขณะที่หญิงเหล่านั้นไปซื้อน้ำมัน

เราก็เห็นเจ้าบ่าวมาถึง

หญิงสาวที่เตรียมพร้อม

จึงเข้าไปในห้องงานแต่งงาน

พร้อมเจ้าบ่าวแล้วประตูก็ปิด

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ผู้ที่จะก้าวตามเจ้าบ่าว

เดินทางไปสู่ประตูมิติแห่งการหลุดพ้น

บนมรรควิถีจิตจักรวาล

ตามที่พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้

กลับมาช่วยเหลือท่านทั้งหลาย

ก่อนวันปิดยุคพลังงานเก่านั้น

 

เจ้าสาวผู้ที่จะก้าวตามเจ้าบ่าวทัน

เจ้าสาวผู้ที่จะคุยฟังเจ้าบ่าวรู้เรื่อง

เจ้าสาวก็จักต้องใช้สมองเป็น

ต้องนึกคิดเป็นด้วย

 

การใช้สมองเป็น คิดเป็น หมายถึง

ท่านต้องมีทักษะด้านการใช้จิตปัญญา

ในระดับที่สามารถใช้สมองสองซีก

เพื่อการ "เรียนรู้" ด้วยวิธีวิเคราะห์

เพื่อการ "คิดรู้" ด้วยวิธีสังเคราะห์

รวมทั้งอาจสามารถ "หยั่งรู้" ได้ด้วยจิต

โดยมิต้องเรียนรู้และคิดรู้อีกด้วย

 

ดังนั้น

ความฉลาดทางจิตปัญญา

จึงเป็นสิ่งจำเป็น

เราจึงเปรียบก้อนสมองเป็นดั่ง "ตะเกียง"

คนทุกคนมีสมองแปลว่ามีตะเกียง

แต่คนที่ใช้สมองไม่เป็นคิดไม่เป็น

จึงเป็นคนที่ขาดแสงสว่างทางปัญญา

จะเป็นคนที่ไม่ฉลาดในการดำเนินชีวิต

 

ไม่ต่างจากมีตะเกียงแต่ไร้น้ำมัน

ตะเกียงนั้นก็ให้แสงสว่างไม่ได้นั่นแหละ

 

ดังนั้น

หญิงฉลาดจึงฟังเราแล้วเข้าใจ

สามารถเข้าห้องฟังพระโอวาทพระบิดา

ที่ทรงสื่อผ่านเรามาทุกเดือนได้

โดยไม่ง่วงหลับและไม่เบื่อรับฟัง

เพราะเธอฟังแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง

ติดภารกิจโลกอย่างไร

เธอกลุ่มนี้จะมิยอมขาดเว้นมาเฝ้าฟัง

 

เจ้าบ่าวชวนไปเข้าค่ายชำระจิต

และติดอาวุธทางปัญญา

ด้วยกระบวนการ #ไซโคโชว์ อันล้ำลึก

หญิงฉลาดก็ไม่เคยปฏิเสธ

 

เราจึงแลเห็นว่า

ในที่สุดด่านนภาลัยก็เปิดแง้มออก

พระจิตวิญญาณของเจ้าสาวเหล่านี้

พากันเหาะผ่านออกไปได้อย่างสง่างาม

 

ทันใดนั้น

ประตูพระวิหารบนสวรรค์ก็เปิดออก

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ผู้หลุดพ้น

ต่างพากันเข้าไปน้อมเศียรหมอบกราบ

ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์แห่งพระเจ้า

ที่ทรงประทับอยู่บนพระบัลลังก์ใหญ่

 

แต่หญิงรายที่ฟังเจ้าบ่าวแล้วไม่เข้าใจ

เพราะเธอขาดแสงสว่างทางปัญญา

ตะเกียงของเธอไม่มีน้ำมัน

จึงฟังเจ้าบ่าวพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

 

เราได้ยินหญิงบางคน

นินทากล่าวโทษเจ้าบ่าวว่าท่าจะบ้า

เพราะพูดจาสอนอะไรก็ไม่รู้

เดี๋ยวพระเจ้า เดี๋ยวก็พระบิดา

เดี๋ยวก็นิพพาน เดี๋ยวก็หลุดพ้น

เดี๋ยวก็พาเอเมน เดี๋ยวก็พาสาธุ

เอาทุกศาสนามายำนัวมั่วไปหมด

สอนศาสนาอะไรก็ไม่รู้ ฯลฯ

 

เราได้ยินเธอกล่าวล่วงเกินเจ้าบ่าวของตน

ทั้งๆที่ตนเองต่างหากที่เป็นหญิงโง่

เพราะตะเกียงไม่มีน้ำมันจึงจุดไม่ติด

แปลว่าคิดตามที่ได้ฟังพระโอวาทไม่เป็น

 

คนพวกนี้จึงฉลาดที่จะจำและทำตาม

เฉพาะคำสอนของคนที่ตนเชื่อถือเท่านั้น

จะเป็นคำสอนถูกผิดหรือไม่จะไม่ใส่ใจ

แต่พวกนี้ไม่ถนัดที่จะจำและทำตาม

"คำสอน" ที่ถูกต้องเหมาะสมดีงาม

โดยจะเป็นคำสอนของใครก็ได้ไม่ยึดติด

 

เราแลเห็นคนพวกนี้

ได้ห่างหายไปจากห้องรับฟังพระโอวาท

ซึ่งเป็นเสมือนห้องในงานแต่งงาน

เพราะเจ้าสาวคิดว่าเจ้าบ่าวเป็นคน "บ้า"

คนพวกนี้จึงตกเป็นเหยื่อมารและสัตว์ร้าย

ประตูเข้าห้องรับฟังพระโอวาทก็ปิด

 

ในที่สุดเราเห็นพวกหญิงโง่ก็มาถึง

พวกหล่อนมายืนออกันอยู่

ตรงหน้าประตูห้องสื่อพระโอวาท

แล้วพูดว่า

 

"นายเจ้าขา นายเจ้าขา

เปิดรับพวกเราด้วย"

 

เราได้ยินเสียงตอบดังๆว่า

 

"เราขอบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

เราไม่รู้จักพวกท่าน

เพราะท่านไม่รู้วันเวลา

ท่านจงตื่นเฝ้าระวังตนเองเอาไว้เถิด

ภัยพิบัติและสัตว์ร้ายกำลังมา"

 

ต่อจากนั้นเราได้ยินเสียงดัง

มาจากฑูตสวรรค์หนึ่งในเจ็ดองค์

ผู้ถือขันแห่งภัยพิบัติไว้องค์ละใบว่า

 

"ได้เวลาตัดพวงองุ่น

โยนลงไปในบ่อย่ำองุ่นกันแล้ว"

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

9-01-2019