19 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (24) 19/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (24)

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน

ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นคนสองมิติ

เพื่อ "คน" สองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

สู่การเป็น "มนุษย์" ผู้มีจิตใสใจสูงนั้น

 

กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้

ต้องใช้เวลาฝึกฝนกันหลายภพชาติ

กว่าจะประสบผลสำเร็จก็นับว่ายากแล้ว

แต่การนำพาจิตวิญญาณของตน

เดินทางกลับบ้านสู่แดนสุญตาที่จากมา

กลับยากยิ่งกว่าหลายเท่า

 

มันมีเงื่อนไขหลายอย่าง

ที่ทำให้หนทางกลับบ้านของจิตวิญญาณ

ที่จะหลุดพ้นออกไปจาก #อนันตจักรวาล

ต้องกลายเป็นเรื่องยากสุดๆ

จนมนุษย์หลายคนกลายเป็นลิงถือลูกท้อ

 

เงื่อนไขสำคัญ

ที่ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่

นิพพานไม่สุดหลุดพ้นไม่ได้จนป่านนี้

มีดังนี้

 

1. จิตหยาบหรือจิตมนุษย์

ลืมไปว่าตนยังมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน

 

ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน

ตนจึงทำทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองตนเอง

มิได้ใส่ใจที่จะทำเพื่อจิตวิญญาณของตน

 

2. จิตหยาบหรือจิตมนุษย์

ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเป็นใคร

มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

ใครใช้ให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้

มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

 

เมื่อไม่รู้กำพืดที่มาของตนเอง

จึงได้แต่ดำเนินชีวิตไปวันๆ

ตามอำนาจของกิเลสตัณหาราคะ

ตามจริตสันดานของตน

ยังผลให้ล้มเหลวในการเป็นมนุษย์

จึงกลายเป็นขยะที่รกโลกไปในที่สุด

เพราะไม่อาจเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

ทำตามภารกิจหลักทางจิตวิญญาณได้

 

3. ในขณะเดียวกัน

คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้

ที่เวียนว่ายตายเกิดกันมานาน

มากมายหลายภพชาติแล้ว

ก็เกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้ในชีวิต

 

เพราะรับไม่ได้

กับบทละครชีวิตบทยากๆของตน

ที่ขีดเขียนมาแสดงเองตั้งแต่ภพชาติแรก

 

เพราะรับไม่ไหว

กับชะตากรรมยากๆของตนที่ต้องเผชิญ

จากการกระทำผิดบาปของตนเอง

 

จึงมองว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

เป็นการตกอยู่ในวงล้อมของความทุกข์

ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

ทุกที่ ทุกขณะ

มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้น

 

คนส่วนใหญ่

จึงเกลียดกลัวความทุกข์

พยายามที่จะหาทางหนีทุกข์

พยายามที่จะหาทางพ้นทุกข์

พยายามที่จะออกไปจากความทุกข์

 

จนสุดท้ายก็คิดเอาเองว่า

ถ้าจะพ้นทุกข์ได้ตายแล้วต้องไม่เกิดอีก

จึงหาทางกันสุดฤทธิ์คิดกันทุกวิธีว่า

ต้องทำอย่างไรจึงตายแล้วไม่มาเกิดอีก

ทุกวันทุกเวลาและทุกภพชาติ

จนในที่สุดจิตวิญญาณก็ "หลุดลอย"

ตายแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกสมใจนึก

 

แต่จิตวิญญาณผู้หลุดลอยทั้งหลาย

กลับพบว่าความทุกข์ที่ตนไม่ปรารถนา

มันยังบังเกิดคุกรุ่นคาอยู่ที่ในจิตดังเดิม

มันมิได้ดับสลายหายไปไหนเลย

แม้หลุดลอยขึ้นไปเป็นเทพเทวดาแล้ว

 

โดยเฉพาะ "ทุกข์" ตรงที่ไม่รู้ว่า

จะนำพาตนเองไปต่อได้อย่างไร

จะลอยสูงขึ้นไปให้สุดทางต้องทำไง

ที่ว่าลอยไปสุดทางนั้นมันสุดแค่ไหน

จะนำพาตนเองกลับลงมาเกิดอีก

ก็ไม่รู้ว่าจะหลุดหล่นลงมาได้อย่างไร

ตนจะต้องทำยังไงกับตนเองดี

ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นทุกข์กองใหญ่

ที่ผู้หลุดลอยทั้งหลายล้วนจมอยู่ในนั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ผู้คนประเภทนี้เป็นพวกที่

ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน

ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้ง

เพราะเข้าใจผิดคิดว่าการหลุดลอย

โดยไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

คือหนทางที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง

 

ประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ผู้ไม่เข้าใจในสาระธรรมคำสอน

ของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระตถาคต

คือ "ผู้มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น"

เป็นผู้ชักชวนชี้นำคนส่วนใหญ่

ให้หลงทางไปนิพพานกันมาตลอด

 

ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน

จากภพชาติที่ทรงจุติเป็นมนุษย์แท้ๆ

มิได้หลุดลอยไปเป็นเทพพรหมก่อน

จึงค่อยหลุดพ้นออกไป

จากอนันตจักรวาลอันกว้างใหญ่

ตามอย่างคนนำทางตาบอดสอนไว้

 

การมาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น

ทรงหมายถึง

 

เพราะพระจิตวิญญาณของพระองค์

ทรงเดินทางมาจากจิตจักรวาล

ข้ามมิติเข้ามาเกิดในอนันตจักรวาล

เมื่อภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

ก็ต้องกลับออกไปจากอนันตจักรวาล

คืนสู่ดินแดนจิตจักรวาล

ที่พระจิตวิญญาณพระองค์จากมา

นี่เป็นนัยแห่งอนุตรธรรมความจริงชั้นสูง

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แสดงไว้

ถ้าไม่ใช้ปัญญาญาณ

ก็ยากที่จะเข้าถึงได้

 

การพยายามแต่จะหนีทุกข์

อย่างล้มลุกคลุกคลานของคนส่วนใหญ่

จน "หลุดลอย" หลงทางไปนิพพาน

แล้วละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณไป

จึงเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ยังผลให้

จิตวิญญาณมิอาจหลุดพ้นกลับบ้านเดิม

นอกเอกภพหรือนอกอนันตจักรวาลได้

 

4. เพราะท่านทั้งหลาย

ขาดองค์ความรู้ระดับ #อนุตรธรรม

ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเข้าถึงเองได้

ต่อให้เป็นสัพพัญญูได้แล้วก็ตาม

 

ความจริงระดับอนุตรธรรม

เป็นความจริงที่อยู่นอกอนันตจักรวาล

ที่มีเพียงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ทรงเป็นผู้รอบรู้อยู่เพียงพระองค์เดียว

พระองค์จึงต้องส่งพระบุตรเอก

ลงมาจุติเป็นพระศาสดาของโลก

เพื่อมากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

เพื่อมาประกาศความจริงทั้งหลาย

ที่มนุษย์ทุกคนไม่รู้ว่าไม่รู้แต่จะต้องรู้

เพราะถ้าไม่รู้ก็จะมิอาจหลุดพ้น

กลับออกไปจากอนันตจักรวาล

เพื่อคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณได้

 

คนที่ยังนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นมิได้

จึงเป็นพวกที่ยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

แล้วปฏิเสธพระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

ให้ลงมาช่วยเหลือเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาด

ขณะที่บางพวกก็ยึดติดแต่พระบุตรเอก

พระศาสดาที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

แล้วปฏิเสธพระศาสดาของโลกองค์อื่นๆ

 

ดังนั้น

การยึดพระศาสดาพระองค์เดียว

การยึดพระคัมภีร์เล่มเดียว

ก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไข

ที่ทำให้จิตวิญญาณมากมายตกค้างอยู่

 

5. นี่ก็น่าจะเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญเช่นกัน

ที่ทำให้จิตวิญญาณมากมายติดค้างอยู่

มิอาจหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

เพราะดำรงตนให้เป็นคนพ้นกรรมไม่ได้

 

ในชีวิตประจำวัน

ยังมีการก่อกรรมใหม่ทับซ้อนกรรมเก่า

และยังมิอาจทำกรรมเก่าให้เป็นโมฆะ

ให้หมดสิ้นพันธะสัญญากรรมกับผู้อื่นได้

จิตวิญญาณก็จะมิอาจหลุดพ้นได้เช่นกัน

 

ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า

อายตนะทั้งหกและอวัยวะภายนอกทุกชิ้น

หากท่านขาดมหาสติ

และไม่มีปณิธานแห่งการหลุดพ้นแท้จริง

มันจะเป็นเครื่องมือก่อกรรมทำเข็ญ

ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับคนรอบข้างได้เสมอ

 

ทำโดยไม่ยั้งคิด

พูดโดยไม่ยั้งคิด

ฟังแล้วเชื่อไม่เชื่อโดยไม่ยั้งคิด

โอกาสที่จะกระทำผิดบาปนั้นสูงยิ่ง

 

เราจึงเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลาย

เพื่อให้สติทางวิญญาณเอาไว้ว่า

 

"ถ้ามือข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงตัดมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยมือที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีมือสองข้าง

แต่ต้องตกนรกลงสู่ไฟที่ไม่รู้ดับ

 

"ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงตัดมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยเท้าที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีเท้าสองข้าง

แต่ต้องถูกโยนลงนรก

 

"ถ้าตาข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงควักมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยตาที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีตาอยู่สองข้าง

แต่ต้องถูกโยนลงนรก

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

ในแดนนรกที่ผู้ทำผิดบาปต้องลงไปนั้น

ที่นั่น "หนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ"

 

คำว่า "หนอนไม่รู้ตาย" เราหมายถึง

ผู้ที่กระทำผิดบาปต่อผู้อื่นนั้น

เมื่อตายแล้วร่างกายอวัยวะจะเน่าเปื่อย

จิตวิญญาณก็จะพกพากายหยาบ

ที่เน่าเปื่อยนั้นติดตัวไปลงนรกด้วย

หนอนจะชอนไชกัดแทะยั้วเยี้ยไปหมด

ใครก่อกรรมทำบาปชั่วเอาไว้มาก

เนื้อตัวก็จะเน่าและมีหนอนขึ้นมาก

 

พระยายมบาลที่ในนรก

ท่านก็จะใช้เกลือหมักดองแผลเน่า

เพื่อทำการบำบัดรักษาให้แผลสด

จนหายเน่าไม่มีหนอนชอนไชอีก

แต่ท่านต้องแลกกับความเจ็บแสบ

เพื่อสร้างสำนึกผิดบาปทางวิญญาณ

แผลเน่ามีหนอนทั่วตัวจึงจะหายเน่าได้

 

คำว่า "ไฟไม่รู้ดับ" เราหมายถึง

จิตวิญญาณที่หลงมิติ

เพราะมีกิเลสตัณหาราคะอุปาทาน

ติดตัวเป็นคุณสมบัติไปลงนรกด้วย

จะถูกโยนลงไปในกองไฟที่ไม่รู้ดับ

เพื่อให้ช่วยชำระจิตวิญญาณบาปนั้น

 

เนื่องจากตอนที่เป็นมนุษย์

จิตหยาบก่อกรรมทำบาปเอาไว้มาก

เพราะจิตตกเป็นทาสกิเลสตัณหา

ขลาดเขลาเบาปัญญาและงมงาย

โดยเจ้าตัวไม่มีสำนึก

ที่จะชำระจิตตนเองให้ใสพิสุทธิ์

ให้มีจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์เลย

เมื่อตายแล้วจึงถูกโยนลงนรก

 

ท่านพระยายมบาล

ก็จะใช้ไฟร้อนในนรกที่ไม่รู้ดับ

ทำการชำระจิตวิญญาณนั้น

จนกว่าสนิมขยะที่เกาะติดจิตวิญญาณ

จะวอดสลายไปกับไฟร้อนจนหมดสิ้น

 

ดังนั้น

ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่

จงมีเกลือไว้ในตัวท่านเถิด

ร่างกายของท่านจะได้ไม่เน่า

ให้มีหนอนขึ้น

 

ความเหล่านี้เราหมายถึง

ท่านจงดำเนินชีวิตอยู่อย่างสันติสุข

กับคนรอบข้างทุกๆคน

โดยรักกันให้ได้ ให้อภัยกันให้เป็น

ไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน

ด้วยอวัยวะและอายตนะที่ท่านมีอยู่

จิตวิญญาณท่านจักได้ไม่ต้องการเกลือ

จิตวิญญาณท่านจักได้ไม่ต้องการไฟ

จะได้ไม่ต้องถูกโยนลงไปในนรก

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

19-01-2019