15 มีนาคม 2561

คนตนเองให้เป็นมนุษย์




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นนั้น
หมายถึงท่านจักต้องละวางกิเลสตัณหาราคะ
ให้มันว่างไปจากชีวิตประจำวันของท่าน
โดยทำให้มันว่างให้ได้อย่างสิ้นเชื้อ

ถึงแม้ว่ามันจะยังคงมีอยู่ในจิตของท่าน
แต่ท่านก็ต้องทำให้มันเหมือนไม่มีอยู่ให้จงได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านยังไม่สามารถยกระดับจิตของท่าน
ให้สูงขึ้นเสมอกับจิตวิญญาณของท่านได้
ตั้งแต่อายุขัยยังน้อยๆแล้ว
การที่ท่านจะ #คนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
จนเข้าถึงสภาวะการหลุดพ้นในชาตินี้ได้
จักเป็นความจริงได้ยากยิ่ง

ที่หลุดพ้นได้ยากก็เพราะเหตุว่า
จิตหยาบของท่านที่ติดกับดักกิเลสตัณหานั้น
จะนำพาจิตวิญญาณก่อเวรเกี่ยวกรรมรายวัน
จนต้องใช้โอกาสขอมีภพชาติใหม่ไปเรื่อยๆ
เพื่อแก้ไขผลกรรมที่กระทำผิดบาปไว้ในอดีต
ซึ่งชาวโลกเสรีจำนวนมากกำลังเผชิญกันอยู่

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านปรารถนาจะหลุดพ้นในชาตินี้
ท่านจักต้องดับโทสะ โลภะ โมหะ ให้สิ้น
ด้วยการไม่โกรธ รู้จักพอ และฉลาดคิด
เพื่อการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างสันติสุขให้จงได้
แล้วฝึกที่จะรักตนเองและผู้อื่น
ด้วยการไม่ทำอะไรให้ตนเองเดือดร้อน
ด้วยการไม่ก้าวล่วงผู้อื่นให้เขาเสียสมดุล
ด้วยการรู้จักรักรู้จักให้ในทุกโอกาสที่มีโอกาส

ท่านจักต้องระลึกไว้เสมอว่า
ขณะนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

ท่านทั้งหลายจักต้องนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตานอกระบบเอกภพที่จากมา
ซึ่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงรอคอยพวกท่านมานานนับหมื่นปีแล้ว
เพราะพวกท่านล้วนเป็น #ตัวแทนแห่งพระบิดา
ที่ขันอาสาพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์โลก
เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 
ที่จิตวิญญาณของท่านได้ให้ไว้ต่อพระองค์

โดยสัญญาว่าจะมาทำหน้าที่
โดยสัญญาว่าจะนำพาตนเองกลับบ้าน
ภายในวันก่อนสิ้นยุคพลังงานเก่า
หรือภายในไม่เกิน 6 หมื่นปีนั่นเอง
ซึ่งบัดนี้กาลเวลาโลกล่วงเลยมานาน
กว่า 800 ปีเศษแล้ว

พี่ๆน้องๆของท่านอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน
กำลังรอที่จะเดินทางข้ามมิติเข้ามา
เพื่อปฏิบัติภารกิจพระบิดาแทนพวกท่านอยู่
หากพวกท่านไม่ยอมออกไปจากระบบโลก
หากพวกท่านไม่ยอมหลุดพ้นไปจากเอกภพ
พวกเขาก็จะมิอาจเข้ามารับหน้าทีแทนได้

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงกลับมาเพื่อชี้ทางหลุดพ้นแก่ท่าน
ไม่ว่าท่านจะเป็นศาสนิกชนกลุ่มไหน
ไม่ว่าท่านจะเป็นสาวกของผู้ใด
หากท่านเป็นผู้ใฝ่การหลุดพ้นในชาตินี้
เราคือผู้กลับมาช่วยเหลือพวกท่าน
เราคือผู้ที่ท่านรอคอย

วิธีพิจารณาว่าเราคือ "ท่านผู้นั้น" หรือไม่
เราคือ "บุตรเอกพระบิดา" หรือเปล่านั้น
มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ความจริงได้ง่ายมาก
จงอย่าทำเรื่องง่ายๆให้มันยากนักเลย
เพียงแค่ท่านรับฟังพระโอวาทพระบิดา
พร้อมรับรู้ข่าวสารการชำระโลก
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านมาทางเราทุกๆวันสิ
เมื่อรับรู้รับฟังพระโอวาทและข่าวสารแล้ว
ขอท่านจงใช้วิธีพิสูจน์ตามลำดับขั้นดังนี้

1.เมื่อรับรู้พระโอวาทคำสอนอะไร
ท่านจงอย่า "ปฏิเสธ" ทันทีที่รับฟังรับรู้
แต่ท่านจง "เรียนรู้" ด้วยการคิดตามให้เข้าใจ
ว่าเรากล่าวพระโอวาทว่าอย่างไร
ซึ่งพระโอวาทส่วนใหญ่จะชี้ทางหลุดพ้น
ให้ท่านทั้งหลายก้าวเดินทั้งสิ้น

2.การเรียนรู้ที่ฉลาดก็คือ
ท่านจักต้องไม่เรียนรู้ด้วยการฟังไปจับผิดไป
โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจับผิด
ซึ่งท่านจะไม่สามารถรับรู้ความรู้ใหม่ที่ดีๆ
จะไม่สามารถรับรู้ข่าวสารการชำระโลก
อันหมายถึง "ชีวิต" และความรอดของท่าน
ที่พระบิดาทรงเมตตาต่อท่านทั้งหลายได้
เพราะท่านจะไม่สนใจนอกจากจับผิดนั่นแหละ

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การจับผิดของมนุษย์ที่แท้จริงที่ต้องรู้นั้น
มันมีทางเลือกอยู่สองทางด้วยกัน

"ทางเลือกแรก"..... ในการจับผิด
ที่เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายนี้
จะเป็นทางเลือกของ #ฝ่ายโง่ 
เพราะหากใครเลือกใช้วิธีจับผิดวิธีนี้
เขาก็จะไม่สามารถยกระดับสติปัญญา
และไม่สามารถเพิ่มพูนความรอบรู้ได้
นั่นคือ #การจับผิดผิด

วิธีจับผิดก็คือขณะรับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่
ก็จะคอยหยิบเอาความรู้เก่าที่ตนมีอยู่
จะหยิบเอาความเชื่อส่วนตนถ้ามีอยู่
มาตัดสินข่าวสารความรู้ใหม่ของเรา
เพื่อหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธสถานเดียว

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากล่าวว่า
#มนุษย์โลกจะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติ
#ที่น่ากลัวที่สุดและรุนแรงที่สุด
#เท่าที่เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วในอดีต
#เพราะจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำเสื่อมโทรม

หลายท่านก็จะปฏิเสธข่าวสารความรู้นี้ทันที
โดยอ้างว่า "ในอดีต" ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จึง "ไม่เชื่อ" ข่าวสารของเรา
เพราะพระศาสดาของตนก็ไม่เคยสอน
จึงไม่เชื่อว่าจิตสามนึกจะเป็นสาเหตุ
ตามที่เรากล่าวไว้

แถมยังก้าวล่วงเราด้วยการกล่าวร้ายอีกด้วย
ทั้งๆที่การไม่เชื่อว่าจะเกิดเพราะอดีตไม่เคยเกิด
มันเป็นเพียงแค่การใช้สถิติแต่อดีต
มารองรับความไม่เชื่อของตัวเองเท่านั้น
โดยยังมิได้ใช้สติปัญญาจากสมองในศีรษะเลย
จึงไม่แน่ใจว่าอวดโง่หรืออวดฉลาดกันแน่

"ทางเลือกที่สอง"
ถ้าใครเลือกวิธีที่สองนี้ก็จะเป็น #ฝ่ายฉลาด
สมควรได้รับรางวัลในการเป็นนักปราชญ์
ในอีกไม่ช้านานในกาลข้างหน้าแน่นอน
เพราะทางเลือกที่สองนี้ คือ #การจับผิดแผก

การจับผิดแผกจะต่างจากการจับผิดผิด
ตรงที่ผิดแผกคือความแปลกแยกแตกต่าง
จากที่ตนเองรู้อยู่ เชื่ออยู่ มีประสบการณ์อยู่
ส่วนการจับผิดผิดคือการหาข้อผิดหาข้อตำหนิ
โดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่ "ผิดแผก" เลย

3.เมื่อรับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่จากพระบิดา
จนเรียนรู้อย่างถ่องแท้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
ขั้นตอนสำคัญคือการพิสูจน์ความจริงที่รู้นั้น

ถ้าเป็นข้อธรรมะเพื่อการหลุดพ้น
ท่านก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตจริง
เพื่อพิสูจน์ความจริงที่เราสื่อมาให้ว่า
มหัศจรรย์แห่งชีวิตมันเกิดขึ้นในชีวิตท่านมั้ย
มหัศจรรย์แห่งจิตและปัญญา
มันพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนหรือเปล่า
เมื่อท่านนำเอาพระโอวาทไปปฏิบัติในชีวิต

ส่วนเรื่องภัยพิบัติที่เรากล่าวถึง
ท่านก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้เช่นกันว่า
มันมีแนวโน้มอย่างที่เรากล่าวไว้หรือเปล่า
เช่น แผ่นดินไหวทุกวัน รุนแรงขึ้นทุกวัน
และเกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วโลก

พายุหมุนเกิดขึ้นทั่วโลก
สร้างความรุนแรงและหายนะเพิ่มขึ้นทุกวัน
ภูเขาไฟปะทุถี่ขึ้นทั้งใหม่และเก่า

นกหลงฟ้าปลาหลงน้ำมีปรากฏถี่ขึ้น
ปลาเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในทะเล
พากันหลงทิศว่ายมาเกยหาดตายบ่อยขึ้น

โลกเกิดภาวะเรือนกระจกแก้ไม่ได้มีแต่หนักขึ้น
เพราะปริมาณก๊าซออกซิเจนในระบบโลกลดลง
แต่ก๊าซคาร์บอนฯและก๊าซมวลหนักเพิ่มขึ้น
ซึ่งมีมนุษย์โลกนี่แหละเป็นเหตุ
ถ้ายังรักกันไม่ได้ให้อภัยกันไม่เป็นอยู่อีก
ภัยพิบัติมันจะเกิดรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่จริงมั้ย
ก็ขอให้ท่านใช้เวลารอพิสูจน์ความจริงก่อน
อย่าใจร้อนด่วนปฏิเสธเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-03-2018