30 กันยายน 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 7



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์ส่วนใหญ่
ชอบโทษผู้อื่นที่ทำร้ายตน
แต่ไม่เคยโทษตนเอง
ที่เป็นเหตุให้เขาทำร้ายเลย

มนุษย์ส่วนใหญ่
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าทำไมเขาจึงทำร้ายตน
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าเขาทำร้ายตนได้อย่างไร
เพื่อจะได้รู้วิธีป้องกันตนเองไว้
มิให้ถูกทำร้ายอีกในครั้งต่อๆไป

แต่กลับเสียเวลาให้กับการก่อกรรมใหม่
ด้วยการคิดหาหนทางทำร้ายเขากลับคืน
ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย
แทนการใช้ความรักกับปัญญา
จัดการปัญหาระหว่างกันและกัน
เพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้

จึงทำให้ความเลวของทั้งสองฝ่าย
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ทั้งยังไม่ทำให้ใครฉลาดขึ้นมาได้
เพราะการเรียนรู้กันเลยสักนิดเดียว

จิตมนุษย์จึงไม่ใสใจมิอาจสวยขึ้นมาได้
เพราะต่างคนต่างฝ่ายขาดมหาสติ
จิตใจจึงถูกไฟโทสะเผาสุมรุมเร้า
จึงคิดแต่จะหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
คิดนึกอย่างอื่นไม่เป็นเห็นธรรมไม่ได้
แม้จะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมมานาน
ก็นำพาจิตวิญญาณไปถึงแดนสุญตามิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เมื่อท่านจะออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอก
ถ้ารู้ว่าฝนจะตกท่านยังรู้จักพกพาร่มไปด้วย
เพราะท่านไม่ต้องการเปียกฝนใช่หรือไม่
แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเปียกฝน
ท่านก็คงจะต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน
ส่วนเรื่องธุระนั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน

มันจึงไม่ต่างจากการออกไปใช้ชีวิตในสังคม
ซึ่งมีผู้คนทั้งดีและร้ายปะปนกันอยู่มากมาย
เมื่ออยู่ในสังคมย่อมพบเจอทั้งคนดีที่เราชอบ
และต้องพบเจอคนไม่ดีที่เราไม่ชอบด้วย

ดังนั้น
เมื่ออยู่ในสังคมท่านจึงต้องมีสติระวังตน
เพราะท่านรู้ดีว่าต้องพบเจอคนชั่วแน่ๆ
ไม่ต่างจากการถือร่มไว้กันฝน
เมื่อท่านต้องออกนอกบ้าน
เพราะท่านรู้ดีว่าฝนจะต้องตกแน่ๆ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อท่านมีปัญหากับใครหรือสิ่งใดก็ตาม
มันมีสองทางเลือกให้ท่านทำ
หนึ่ง เลือกทำที่ตัวเอง
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

สอง เลือกทำที่คนอื่นสิ่งอื่น
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

ตรึกตรองเถิดว่า
ถ้าทุกปัญหาจะสิ้นสุดยุติได้
ควรจะจัดการแก้ไขที่ใครง่ายกว่ากัน
ระหว่างตัวท่านเองกับคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านจึงเลือกจัดการที่ตนเอง
ด้วยการพกพาร่มออกจากบ้านไปด้วย
แทนที่จะไปจัดการห้ามฝนมิให้ตก
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

มันจึงไม่ต่างอะไรกันกับการใช้ชีวิตในสังคม
ที่ท่านจักต้องจัดการแก้ไขป้องกันที่ตนเอง
โดยครองสติเอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา
เมื่อได้เผชิญหน้ากันกับคนชั่ว
ก็จักไม่พลาดท่าเสียทีถูกทำร้ายง่ายนัก
ซึ่งท่านไม่เลือกใช้วิธีไปเที่ยวบังคับคนชั่ว
มิให้มายั่วยุทำร้ายท่าน
เพราะมันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

ดังนั้น
เมื่อใดที่ท่านตกเป็นฝ่ายถูกก้าวล่วงทำร้าย
ท่านจึงไม่ควรติโทษคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว
เพราะตัวท่านเองซึ่งมีหน้าที่ปกป้องระวังตน
ก็บกพร่องจนเปิดช่องให้เขาทำร้ายเอาได้

หากท่านยอมรับสัจธรรมความจริงนี้ได้
จิตใจของท่านก็จักใสสวยสงบเย็นทันที
ความอาฆาตพยาบาทก็จะไม่บังเกิด
ให้ต้องเสียเวลาทำใจเพื่อให้อภัยในภายหลัง
ซึ่งแค้นฝังใจมันมิอาจถอนแค้นกันได้ง่ายนัก

มนุษย์ส่วนใหญ่พยายามแก้ไขปัญหา
ด้วยการพยายามจะจัดการที่คนอื่นตลอดมา
แต่ทั้งชีวิตก็ยังเต็มไปด้วยปัญหา
เพราะว่าไม่เคยจัดการใครได้สำเร็จเลยสักราย

มนุษย์ส่วนใหญ่เหล่านี้
จึงต้องเลือกใช้วิธีบำเพ็ญธรรม
ด้วยการนำพาตนเองขึ้นเขาเข้าป่า
เพื่อแสวงหาวิธีดับทุกข์แบบแปลกๆ

วิธีที่มักนิยมใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์กัน
คือการฝึกเท็คนิกสมาธิแบบ "ไม้ทับหญ้า"
ด้วยการใช้จิตข่มจิตเอาไว้มิให้พลุ่งพล่าน
เพื่อสัมผัสถึงอาการเบาสบายเมื่อจิตสงบ
ซึ่งเป็นการพบความสุขสงบแค่ชั่วคราว

เมื่อออกจากสมาธิไปใช้ชีวิตปกติในสังคม
แรงอาฆาตพยาบาทก็ยังคงอยู่
นิสัยการดำเนินชีวิตแบบเข้าข้างตัวก็ยังอยู่
เพราะมัวแต่ไปนั่งสมาธิอย่างคร่ำเคร่ง
แต่ยังมิได้จัดการแก้ไขที่จิตใจตนเองเลย
พอมีคนชั่วคนใหม่มายั่วยุยียวนกวนใจอีก
พลันก็ปรี๊ดแตก! สติแตก! อยู่ซ้ำซาก
เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ถูกจุด

เพราะหนทางดับทุกข์ใจจากไฟพยาบาทนั้น
แท้จริงแล้วต้องหยิบปัญญามาดับมัน
มิใช่เอาอะไรมากลบๆไฟนั้นไว้
เพราะเชื้อไฟนั้นมันยังอยู่
มันพร้อมจะลุกพรึบขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
หากถูกยั่วยุยียวนเหมือนถูกราดด้วยน้ำมัน

มรรควิถีจิตจักรวาล
จึงเน้นให้ท่านปฏิบัติธรรมชาติสมาธิ
ด้วยการครองมหาสติในชีวิตประจำวัน
และช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้ท่าน
เพื่อสามารถหยิบปัญญามาดับทุกข์ได้
เพราะเรามั่นใจว่า
ความฉลาดทางปัญญาเท่านั้น
ที่จะช่วยท่านดับการเกิดดับได้อย่างสิ้นเชิง

ลองเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
ลดละทิฐิของท่านลงเสียบ้าง
วิถีชีวิตของท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-09-2017