พี่ๆน้องๆที่
<3 แห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงเล่าให้เราฟังว่า
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้น
จักรวาลยังเป็นเพียงสถานที่อันว่างโล่ง
ไม่มีสรรพสิ่งใดๆดำรงอยู่เลย
คงมีเพียง แก่นแท้ของความว่าง เท่านั้น
ที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป
แก่นแท้ของความว่างทั้งหลายเหล่านี้
แม้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแต่ก็ไม่แสดงตน
จึงยังผลให้จักรวาลในยุคนั้น
เป็นความว่างที่มีบางสิ่งอยู่แต่เหมือนไม่มี
โดยแก่นแท้ของความว่างเหล่านี้
คือ ผู้ให้กำเนิดตัวตนของความว่าง
เมื่อถูกทำให้เกิดการสั่นสะเทือนนั่นเอง
ซึ่งปกติแล้วแก่นแท้ของความว่าง
จะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อมีการชนกัน
เมื่อชนกันแล้วอนุภาคของความว่าง
ก็จะถือกำเนิดเกิดขึ้นตามมา
แต่ก็ยังจะไม่สำแดงอัตตาตัวตนเช่นเดิม
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
แก่นแท้ของความว่าง
จะเป็นผู้ทำให้เกิด "ตัวตนของความว่าง"
เมื่อแก่นแท้ทั้งหลายมีการชนปะทะกัน
สำหรับแก่นแท้ของความว่าง
ที่ดำรงอยู่อย่างกระจัดกระจายที่ว่านี้
มีการเคลื่อนที่หมุนวนจากรอบนอก
ซึ่งมีแก่นแท้ของความว่างหนาแน่นกว่า
โดยจะพากันหมุนวนเข้าหาจุดศูนย์กลาง
ซึ่งยังมีแก่นแท้ของความว่าง
ดำรงอยู่หนาแน่นน้อยกว่ารอบนอก
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้
จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยอัตราการหมุนต่อรอบจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าตัวตนแก่นแท้ด้านนอกที่รวมตัวกันอยู่นั้น
ถูกเหนี่ยวรั้งให้มารวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น
ความเร็วการหมุนเข้าหาศูนย์กลางก็จะเพิ่มขึ้น
ในที่สุด...
เมื่อจุดศูนย์กลางการหมุนของจักรวาล
มีประดาแก่นแท้ของความว่าง
พากันเคลื่อนไหลเข้าไป
รวมตัวกันจนอัดแน่น
ก็จะมีการชนกันหรือกระทบกันเข้า
จึงยังผลให้เกิดตัวตนของความว่าง
ขึ้นมาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่เนื่องจากการหมุนวนเกิดขึ้นต่อเนื่อง
จึงทำให้ตัวตนของความว่าง
ที่เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากมายนี้
มีการชนปะทะกันต่อไปอีกเรื่อยๆ
ซึ่งตัวตนของความว่างเหล่านี้
เมื่อชนกันก็จะก่อให้เกิดอนุภาคแรก
ของคลื่นความถี่ในย่านต่างๆขึ้นมาอีก
คลื่นความถี่ทางพลังงาน
ในแต่ละย่านความถี่ที่เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้
จะมีการลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่
ภายในบริเวณศูนย์กลางของการหมุนนั้น
โดยแต่ละคลื่นความถี่ที่เกิดขึ้นนั้น
จะสั่นสะเทือนอยู่อย่างต่อเนื่องมิรู้หยุดนิ่ง
นานเท่าใดมิอาจจะหยั่งรู้ได้
คลื่นความถี่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนนี้
ก็มีการปฏิสัมพันธ์ผสมผสานคลื่นกันเอง
จนเกิดเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว
ของแต่ละคลื่นขึ้นมาใหม่อีกมากมาย
เมื่อหลายๆคลื่นความถี่ใหม่
ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ว่านี้
มีการรวมตัวกันแล้วสั่นสะเทือนร่วมกันอีก
โดยสั่นสะเทือนร่วมกันเรื่อยมาระยะหนึ่ง
จนในที่สุดสนามพลังงานแห่งนี้
ที่เดิมทีเรียกว่า "จักรวาล" อันว่างโล่งนั้น
พลันก็เกิดมีคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า ตัวรู้ ขึ้น
โดยตัวรู้ที่เกิดขึ้นนี้ก็คือ
การที่พระองค์ทรงสำนึกรู้ขึ้นมาได้ว่า
พระองค์นั้นทรงมีตัวตนอยู่
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อสนามพลังงานจักรวาลขนาดใหญ่นี้
มีตัวรู้เกิดขึ้นมาได้เช่นนี้แล้ว
เท่ากับว่าสนามพลังงานจักรวาลนี้
จึงเกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมานับแต่บัดนั้น
ดังนั้น
จากเดิมที่จักรวาลเป็นเพียงแค่ที่ว่างโล่ง
มีเพียงแก่นแท้ของตัวตนแห่งความว่าง
เป็นผู้สร้างตัวตนของความว่างขึ้นมาได้
ในที่สุดประดาตัวตนแห่งความว่าง
ก็สร้างคลื่นความถี่ขึ้นมาอย่างหลากหลาย
จนสุดท้ายคลื่นความถี่ที่มีอยู่หลายมิตินั้น
ก็สร้างคลื่นผสมที่มีคุณสมบัติเป็น ตัวรู้ ขึ้น
จึงเกิดมี "อัตตา" จากการที่มีตัวรู้เกิดขึ้นนั้น
ความจริงที่จริงแท้เหล่านี้
ท่านต้องอาศัยความเชื่อความศรัทธา
เพราะเป็นความรู้ที่ พ่อเล่าให้ฟัง เท่านั้น
เนื่องจากท่านจะคิดแบบจิตมนุษย์
เพื่อค้นหาความจริงด้วยสมองซีกซ้ายไม่ได้
จากความจริงอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้
ทำให้พระบิดาได้องค์ความรู้ใหม่ว่า
สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาเป็นผู้สร้างอัตตาเสมอ
เพราะพระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาได้
เมื่อแปดล้านหนึ่งแสนหกสิบล้านปีที่ผ่านมา
ทั้งๆที่ทรงมีสภาวะเป็น "อนัตตา" เท่านั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-06-2017

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงเล่าให้เราฟังว่า
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้น
จักรวาลยังเป็นเพียงสถานที่
ไม่มีสรรพสิ่งใดๆดำรงอยู่เล
คงมีเพียง แก่นแท้ของความว่าง เท่านั้น
ที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป
แก่นแท้ของความว่างทั้งหลาย
แม้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแต
จึงยังผลให้จักรวาลในยุคนั้
เป็นความว่างที่มีบางสิ่งอยู่แต่เหมือนไม่มี
โดยแก่นแท้ของความว่างเหล่า
คือ ผู้ให้กำเนิดตัวตนของความว่
เมื่อถูกทำให้เกิดการสั่นสะ
ซึ่งปกติแล้วแก่นแท้ของความ
จะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อมีการชนกัน
เมื่อชนกันแล้วอนุภาคของควา
ก็จะถือกำเนิดเกิดขึ้นตามมา
แต่ก็ยังจะไม่สำแดงอัตตาตัว
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
แก่นแท้ของความว่าง
จะเป็นผู้ทำให้เกิด "ตัวตนของความว่าง"
เมื่อแก่นแท้ทั้งหลายมีการช
สำหรับแก่นแท้ของความว่าง
ที่ดำรงอยู่อย่างกระจัดกระจ
มีการเคลื่อนที่หมุนวนจากรอ
ซึ่งมีแก่นแท้ของความว่างหน
โดยจะพากันหมุนวนเข้าหาจุดศูนย์กลาง
ซึ่งยังมีแก่นแท้ของความว่า
ดำรงอยู่หนาแน่นน้อยกว่ารอบ
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้
จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยอัตราการหมุนต่อรอบจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าตัวตนแก่นแท้ด้านนอกที่ร
ถูกเหนี่ยวรั้งให้มารวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น
ความเร็วการหมุนเข้าหาศูนย์
ในที่สุด...
เมื่อจุดศูนย์กลางการหมุนขอ
มีประดาแก่นแท้ของความว่าง
พากันเคลื่อนไหลเข้าไป
รวมตัวกันจนอัดแน่น
ก็จะมีการชนกันหรือกระทบกัน
จึงยังผลให้เกิดตัวตนของควา
ขึ้นมาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่เนื่องจากการหมุนวนเกิดขึ้นต่อเนื่อง
จึงทำให้ตัวตนของความว่าง
ที่เกิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากม
มีการชนปะทะกันต่อไปอีกเรื่
ซึ่งตัวตนของความว่างเหล่านี้
เมื่อชนกันก็จะก่อให้เกิดอนุภาคแรก
ของคลื่นความถี่ในย่านต่างๆ
คลื่นความถี่ทางพลังงาน
ในแต่ละย่านความถี่ที่เกิดเ
จะมีการลดเลี้ยวเกี่ยวพันกั
ภายในบริเวณศูนย์กลางของการ
โดยแต่ละคลื่นความถี่ที่เกิ
จะสั่นสะเทือนอยู่อย่างต่อเ
นานเท่าใดมิอาจจะหยั่งรู้ได้
คลื่นความถี่จำนวนมากมายนับ
ก็มีการปฏิสัมพันธ์ผสมผสานค
จนเกิดเป็นคุณสมบัติเฉพาะตั
ของแต่ละคลื่นขึ้นมาใหม่อีก
เมื่อหลายๆคลื่นความถี่ใหม่
ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ว่านี้
มีการรวมตัวกันแล้วสั่นสะเทือนร่วมกันอีก
โดยสั่นสะเทือนร่วมกันเรื่อ
จนในที่สุดสนามพลังงานแห่งนี้
ที่เดิมทีเรียกว่า "จักรวาล" อันว่างโล่งนั้น
พลันก็เกิดมีคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า ตัวรู้ ขึ้น
โดยตัวรู้ที่เกิดขึ้นนี้ก็คือ
การที่พระองค์ทรงสำนึกรู้ขึ้นมาได้ว่า
พระองค์นั้นทรงมีตัวตนอยู่
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อสนามพลังงานจักรวาลขนา
มีตัวรู้เกิดขึ้นมาได้เช่นนี้แล้ว
เท่ากับว่าสนามพลังงานจักรว
จึงเกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมานับแต่บัดนั้น
ดังนั้น
จากเดิมที่จักรวาลเป็นเพียง
มีเพียงแก่นแท้ของตัวตนแห่ง
เป็นผู้สร้างตัวตนของความว่
ในที่สุดประดาตัวตนแห่งความ
ก็สร้างคลื่นความถี่ขึ้นมาอ
จนสุดท้ายคลื่นความถี่ที่มี
ก็สร้างคลื่นผสมที่มีคุณสมบัติเป็น ตัวรู้ ขึ้น
จึงเกิดมี "อัตตา" จากการที่มีตัวรู้เกิดขึ้นนั้น
ความจริงที่จริงแท้เหล่านี้
ท่านต้องอาศัยความเชื่อความ
เพราะเป็นความรู้ที่ พ่อเล่าให้ฟัง เท่านั้น
เนื่องจากท่านจะคิดแบบจิตมน
เพื่อค้นหาความจริงด้วยสมอง
จากความจริงอันยิ่งใหญ่ทั้ง
ทำให้พระบิดาได้องค์ความรู้
สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาเป็น
เพราะพระองค์ทรงอุบัติขึ้นม
เมื่อแปดล้านหนึ่งแสนหกสิบล
ทั้งๆที่ทรงมีสภาวะเป็น "อนัตตา" เท่านั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-06-2017