16 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล


16/09/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทั้งสัตว์ประจำโลกทั้งหลายและมนุษย์ทุกคน
เป็นสิ่งมีชีวิตที่พระบิดาทรงสร้างขึ้นมาบนโลก
ให้มีคุณสมบัติเป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 มิติ
คือมิติแห่งเนื้อหนังอันเป็นมิติโลกทางกายภาพ
กับมิติแห่งจิตวิญญาณอันเป็นมิติทางพลังงาน
ซึ่งสิ่งมีชีวิตจะต้องร่วมกันสั่นสะเทือนด้วยความรัก
เพื่อช่วยกัน "ค้ำจุนโลก" ให้สมดุลทั้งสองมิติ

ความสมดุลทั้งสองมิติหมายถึง
สัตว์ทุกตัวทุกสายพันธุ์จักต้องเป็นสัตว์สังคม
ที่สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกเสรีนี้ได้อย่างสงบสุข
โดยไม่ทำร้ายกันไม่เบียดเบียนกันไม่ฆ่ากัน
เพราะมีความรักบริสุทธิ์ต่อกันเสมอ

มนุษย์ทุกคนทุกชนชาติก็จักต้องเป็นสัตว์สังคม
ที่สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกเสรีนี้ได้อย่างสันติสุข
โดยไม่ทำร้ายกันไม่เอาเปรียบเบียดเบียนกัน
เพราะมีความรักบริสุทธิ์ต่อกันอย่างไร้เงื่อนไข

สาเหตุที่ทั้งสัตว์และมนุษย์ต้อง "รัก" กัน
อันเป็นเหตุผลสำคัญสุดยอดซึ่งเป็น อนุตรธรรม
ที่มนุษย์โลกเสรีทุกคนจักต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้เพราะว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาล
ทรงออกแบบให้เครื่องยนต์แห่งกรรมสัตว์และมนุษย์
ร่วมกันทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานความรักออกมา
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
เพื่อมอบให้แกนแม่เหล็กโลกที่ทรงติดตั้งไว้ภายใน
ได้ใช้เป็นพลังงานในการบิดตัวเพื่อช่วยให้โลกหมุน
ในการสร้างสมดุลของระบบโลกตลอดไปนั่นเอง

เครื่องมือลึกลับชิ้นสำคัญที่สัตว์และมนุษย์ต้องใช้
เพื่อการผลิตสร้าง พลังงานความรัก ที่ว่านี้ก็คือ

1.กลไกอายตนะภายนอกภายในทั้ง 6 คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตภายใน

2.กำหนดให้จิตวิญญาณเฉพาะในสัตว์ประจำโลก
มีหน้าที่สั่นสะเทือนให้เกิดพฤติกรรมทั้ง 2 มิติ
คือพฤติกรรมภายนอกในมิติทางกายภาพ
กับพฤติกรรมภายในของจิตเองในมิติทางพลังงาน

3.สำหรับมนุษย์โลกทุกคนทุกชนชาติ
ทรงกำหนดให้ จิตหยาบ ทำหน้าที่แทน จิตวิญญาณ
มีหน้าที่สั่นสะเทือนให้เกิดพฤติกรรมทั้ง 2 มิติ
คือพฤติกรรมภายนอกในมิติทางกายภาพ
กับพฤติกรรมภายในของจิตเองในมิติทางพลังงาน

เหตุที่มนุษย์ต้องใช้ "จิตหยาบ" แทนจิตวิญญาณ
เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์จักต้อง "กลับบ้าน"
อันหมายถึงการหลุดพ้นกลับออกไปยังถิ่นที่จากมา
เมื่อครบวาระเข้ามาทำหน้าที่บนโลกเสรีนี้แล้ว
นั่นคือเมื่อโลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วนั่นเอง

ถ้ามิให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
โดยจิตวิญญาณทำหน้าที่เองเหมือนสัตว์ประจำโลก
โอกาสที่จิตวิญญาณจะหลงมิติจนกลับบ้านไม่ได้
จะมีสูงมากซึ่งพระบิดาทรงยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้

เพราะลูกแกะของพระองค์ทุกตัวมาได้ก็ต้องกลับได้
จึงทรงออกแบบให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนดังกล่าว
โดยทรงกำหนดให้เมื่อจิตวิญญาณจบสิ้นอายุขัย
จิตหยาบของมนุษย์จะสลายตัวไปพร้อมกายหยาบ
ขณะที่จิตวิญญาณแก่นแท้นั้นยังคงอยู่รอดปลอดภัย
ยกเว้นรายที่จิตหยาบต่ำช้าสามานย์สุดๆ
พาให้จิตวิญญาณหลงมิติจนถึงขั้นนรกมิอาจเยียวยา
คนจำพวกนี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณจะถูกระเบิดทิ้ง

3.ทั้งสัตว์และมนุษย์จึงต่างต้องใช้ขันธ์ 5
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของตน
โดยมีจิตวิญญาณในสัตว์ประจำโลกขับเคลื่อน
มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในมนุษย์
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักมอบให้โลก

แต่ในสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสมองก้อนเดียว
ที่จิตวิญญาณจะใช้ทำงานร่วมกันกับกายสังขาร
เมื่อใดที่กลไกอายตนะทั้ง 5 ของสัตว์นั้นๆ
มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวเอง
กับจิตซึ่งเป็นอายตนะภายในเมื่อเกิดการนึกคิด
โดยมี "ขันธ์ 5" เป็นเครื่องมือในการสั่นสะเทือน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานในแบบที่โลกต้องการ

ขันธ์ 5 จึงเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนของจิต
ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตสร้างพลังงานให้โลก
ตามที่พระบิดาหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบไว้
โดยมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้ คือ

1.ขั้นตอนรับรู้รูป (รูปขันธ์)
หมายถึง รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

2.ขั้นตอนสัญญา (สัญญาขันธ์)
หมายถึง จำได้ว่าที่รับรู้นั้นคืออะไร
และหมายรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้

3.ขั้นตอนเวทนา (เวทนาขันธ์)
หมายถึง เมื่อรับรู้แล้วจิตเกิดความรู้สึกหรือไม่
ถ้ารับรู้แล้วเกิดความรู้สึกแสดงว่า จิตตก
ถ้ารับรู้แล้ววางเฉยจิตจะผ่านขันธ์นี้ไปได้

4.ขั้นตอนสังขาร (สังขารขันธ์)
หมายถึง เมื่อจิตตกเพราะเกิดความรู้สึก
จิตจะสั่นสะเทือนเป็นตัณหา อารมณ์ขยะ
และการนึกลบ คิดลบ ต่อไป

แต่ถ้าจิตว่างไปจากความรู้สึกในเวทนาขันธ์
จิตก็จะนำข้อมูลที่รับรู้รูปในรูปขันธ์มาเรียนรู้
ด้วยการนึกคิดไปตามความเป็นจริง
ตามที่กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นส่งเข้าไปให้
โดยใช้จิตปัญญาที่เป็นความรักและความฉลาด
ขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้ง 2 มิติให้ปรากฏได้
เพราะจิตว่างจากกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะนั่นเอง

5.ขั้นตอนนี้จักเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ของ "ขันธ์ 5" เรียกว่า "วิญญาณขันธ์"

ถ้าจิตของสัตว์หรือมนุษย์
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นนึกคิดด้วยอายตนะของตนแล้ว
เกิดการ "จิตตก" ด้วยอาการโกรธแค้นไม่พอใจ
สำหรับมนุษย์ก็มีโลภ โกรธ หลง งมงายด้วย
จิตก็จะผลิตสร้างวิญญาณคือพลังงานลบออกมา
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่โลกไม่ต้องการ
ถ้าจิตสั่นสะเทือนในรูปแบบนี้ก็เรียกว่า กรรมจักร

แต่ถ้ารับรู้แล้วไม่รับเอาเพราะ "จิตไม่ตก"
จนสามารถผลิตพลังงานความรักด้านบวกออกมาได้
การสั่นสะเทือนขันธ์ 5 แบบนี้ก็จะเรียกว่า ธรรมจักร
เนื่องจากเข้าถึงความรักด้วยปัญญาเป็นเลิศได้นั่นเอง

มนุษย์ทั้งหลายพึงทราบว่า
สัตว์มีแต่จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว
ที่ไม่สามารถใช้สติปัญญาของสมอง
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นความรักอะไรได้
สัตว์จึงใช้จิตของตนสั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้า
ที่รับรู้ผ่านกลไกอายตนะของตนด้วยอารมณ์รู้สึก
ซึ่งเป็นสัญชาติญาณของพวกเขาเท่านั้น
คือ พอใจก็รักตอบ ไม่พอใจก็ร้ายตอบ

แต่มนุษย์อย่างพวกท่าน
พระบิดาทรงติดตั้งสมองสองซีกให้ใช้
ซึ่งเป็นความฉลาดตั้ง 2 ระดับชั้นที่สัตว์ไม่มี
โดยสามารถใช้จิตกับสมองรักคนไม่น่ารักก็ได้
ให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยก็ได้
เพื่อทำหน้าที่ใช้ขันธ์ 5 สร้างพลังงานความรัก
มอบให้กับโลกได้เสมอในทุกเงื่อนไขสิ่งเร้า

ถ้าท่านยังมีดีมาก็ดีตอบ ยังมีชั่วมาก็ชั่วตอบ
โดยมีพฤติกรรมดำเนินชีวิตประจำวัน
ไม่ต่างจากสัตว์ที่ไร้ปัญญาเยี่ยงนี้แล้ว
มองเห็นความน่ารักด้วยปัญญาไม่เป็น
เน้นใช้แต่เห็นเท่าที่ตามองเห็นเท่านั้น

อายสัตว์ประจำโลกมั้ย?
เสียชาติเกิดมั้ย?
จะนิพพานกิเลสตัณหาในชาตินี้ทันมั้ย?
จะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตากันมั้ย?

ยังจะพยายามดับขันธ์ 5 ไม่รู้ค่าของขันธ์ห้า
ยังจะมุ่งดับอัตตา
ยังหาทางจะดับทุกข์โดยดับขันธ์ห้า
ยังจะขลุกอยู่กับโลกส่วนตัว
ในแบบละทิ้งสังคมทั้งภพชาติต่อไปอีกมั้ย?

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/09/2021