05 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ซ้ำเดิมกับครั้งที่แล้วอีกว่า

ธรรมะที่ท่านต่างศึกษาเรียนรู้กันมานั้น
ล้วนเป็น "ความจริง" ที่เรียกว่าสัจธรรมทั้งสิ้น

สัจธรรม มีอยู่ 3 ระดับ คือ
1.โลกียธรรม
2.โลกุตรธรรม
3.อนุตรธรรม

ในบทนี้....
เราจะกล่าวถึง "โลกุตรธรรม"
อันเป็นสัจธรรมในมิติที่สูงกว่า "โลกียธรรม"
ตามที่ท่านร้องขอกันมาว่าปรารถนาจะรู้ต่อ

#โลกุตรธรรม
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ที่จะไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงผันแปร
หรือบิดเบือนให้เบี่ยงเบนไปจากความจริงได้

ดังนั้น
ถ้าใครเข้าถึงสัจธรรมความจริงในระดับนี้ได้
ในเรื่องเดียวกัน สิ่งเดียวกัน หรือกรณีเดียวกัน
คนผู้นั้นย่อมรู้เห็นเหมือนกันกับคนอื่นๆ
คนผู้นั้นย่อมกล่าวสอดคล้องตรงกันกับคนอื่น
นี่จึงเป็นลักษณะพิเศษของ "โลกุตรธรรม"

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

<3 ถ้าท่านจะเข้าถึงความรู้ระดับโลกุตรธรรมได้
<3 ท่านต้องอาศัยปัจจัยหลักอยู่ 3 อย่าง
#ที่มันจะต้องมีพลังอำนาจสูงพอตัว
#ตัวท่านก็ต้องมีความสามารถสูงพอที่จะใช้มัน

ปัจจัยสำคัญ 4 ประการ
ที่จะช่วยท่านให้เข้าถึงโลกุตรธรรมได้
หากต้องการ มีดังต่อไปนี้ คือ

1.#ความรู้ที่เป็นความจริงจากสิ่งรอบตัว
ซึ่งได้จากการรับรู้ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
แล้วนำมาทำการวิเคราะห์แยกแยะ
ด้วยจิตตปัญญาของสมองซีกซ้าย
ตาม #ChickModel by Parinya
จนได้ความจริงว่า "อะไรเป็นอะไร"

2.#สภาวะจิตที่ว่างไปจากขยะ

หมายถึงจิตที่ว่างจาก กิเลส ตัณหา ราคะ
และอุปาทานอย่างสิ้นเชื้อ
จนจิตมีที่ว่างพอให้กับ #ความรักเพื่อให้
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า "ความเมตตา"

3.#ดวงตาที่สาม
คือ ดวงตาแห่งปัญญา
ซึ่งหลายท่านเรียกว่า #ตาใน มิใช่ #ตาเนื้อ

โดยดวงตาแห่งปัญญานี้
จักต้องได้จากการสั่นสะเทือนของจิต
ที่เข้าถึงคุณสมบัติตามข้อ 2 สำเร็จแล้ว
ไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิดของสมอง
ซึ่งเป็นสมองอีกซีกหนึ่งของท่านที่มีอยู่
นั่นคือ สมองซีกขวา นั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
จิตที่สั่นสะเทือนตามคุณสมบัติในข้อ 2 ได้
จะเป็นจิตที่สั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก

หากท่านสามารถสั่นสะเทือน
อย่างต่อเนื่องติดต่อกันได้
โดยไม่สะดุดหยุดลงเสียกลางคัน
หรือไม่นำเอาเรื่องอื่นอารมณ์อื่น
เข้ามาแทรกแซงคลื่นจิต
ที่กำลังสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวกอยู่

จิตที่สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
ได้อย่างต่อเนื่องนี่แหละ
พระบิดาทรงเรียกว่า "#จิตเป็นสมาธิ"

เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สภาวะสมาธิ
จิตก็จะทำการเปิดมิติเคลื่อนสู่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน
ให้ตื่นตัวขึ้นมาสั่นสะเทือนตามไปด้วยกัน
เพื่อให้ท่านพร้อมต่อการใช้ปัญญาญาณ
ซึ่งเป็นสติปัญญาของวิญญาณ ณ บัดนั้น

นี่...เป็นความลับซับซ้อนที่ท่านต้องรู้!
ไม่รู้ ไม่ผ่าน....ไม่ผ่าน นิพพานไม่ได้!

4.#วิธีกดปุ่มความคิด

ปัจจัยที่สี่นี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึงความจริงที่จริงแท้
ในระดับที่เรียกว่า "โลกุตรธรรม" ได้ในที่สุด

เมื่อข้อมูลในข้อ 1 พร้อมที่จะใช้
เมื่อสภาวะจิตตามข้อ 2 พร้อมที่จะใช้
เมื่อปัญญาญาณจากสมองซีกขวา
ตามข้อ 3 พร้อมที่จะใช้เรียบร้อยแล้ว

ขั้นตอนต่อไปนี้หน้าที่ของท่านก็คือ
ต้องทำการ #สังเคราะห์องค์ความรู้
จากข้อมูลที่เป็นโลกียธรรมในข้อ 1 ให้ได้
ซึ่งความสำเร็จในการสังเคราะห์ความรู้นี้
อยู่ที่ "วิธีการคิด" ของท่านนั่นเอง

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
การคิดด้วยสมองซีกซ้ายเพื่อเข้าถึง
ความจริงในระดับโลกียธรรมนั้น
สามารถคิดไปตามที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยการมองโลกไปตามความจริง
เรียนรู้ทุกสิ่งไปตามที่เห็น
โดยยึดหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ

แต่สำหรับการเข้าถึง "โลกุตรธรรม" นั้น
กระบวนการเรียนรู้เพื่อคิดรู้
ให้เข้าถึงความจริงระดับสูงนี้ได้
ท่านจะต้องเป็นผู้ "กดปุ่ม" สร้างความพร้อม
ที่จะคิดสังเคราะห์สัจธรรมออกมา
จากโลกียธรรมนั้นๆด้วย "วิธีคิด" พิเศษ
ที่เรียกว่า "การคิดสร้างสรรค์"

การคิดสร้างสรรค์
ที่จะสามารถสังเคราะห์สัจธรรมออกมา
จากโลกียธรรมนั้นๆได้
จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

1.มีความสามารถในการมองต่างมุม
2.มีความสามารถในการคิดแบบผสมผสาน
3.มีความสามารถในการคิดเชื่อมโยง
4.มีความสามารถในการใช้จินตนาการ
ด้วยการคิดให้เป็นภาพจริง
5.มีความสามารถด้านการคิดรวบยอด

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการสังเคราะห์
เอาโลกุตรธรรมออกมาจากโลกียธรรม

เช่น ถ้าท่านเรียนรู้แล้วว่า
1.ปูมี 8 ขา มีสองก้ามโตๆ
2.ปูไม่มีหัว มีตาอยู่ข้างตัว
3.ปูเดินไม่ตรงทาง เวลาเดินเอาข้างไป
4.ปูเคลื่อนที่ได้เร็วมาก
ทั้งหมดนี้ คือ ความจริงที่เป็นโลกียธรรม

เมื่อใช้ความสามารถ 5 ประการ
ในการมองเห็นความจริงด้วยจิตตปัญญา
จากความจริงของ "ปู" ทั้ง 4 แล้ว
สัจธรรมที่สังเคราะห์ออกมาได้
เป็นความคิดรวบยอดในระดับโลกุตรธรรม
มีดังต่อไปนี้

1.ได้ความรู้ว่าถ้าเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช้สมอง
ก็ไม่ต่างจากปูที่ไม่มีหัวก็เหมือนไม่มีสมอง

2.เพราะปูไม่มีสมองจึงเดินเอาข้างไป
ปูจึงมีพฤติกรรมการเดินที่แปลกจากสัตว์อื่น

มนุษย์ที่ทำอะไรโดยไม่ใช้สมองก็เช่นกัน
จะสามารถทำผิดบาปแบบไม่รู้ตัวได้ง่ายมาก

3.เมื่อทำผิดบาปได้ง่ายเพราะไม่ใช้สมอง
จึงสร้างความเสียหายกลายเป็นคนชั่วทันที
ซึ่งมันจะชั่วเร็วกว่าการทำความดีงามเสียอีก
เพราะกว่าจะทำดีแล้วได้ดีนั้นต้องรอนานกว่า

ตัวอย่างความรู้ในสามประการนี่แหละ
เป็นความจริงในระดับโลกุตรธรรม
ที่ท่านมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก
ต้องมองด้วยจิตตปัญญาญาณ
หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "ญาณหยั่งรู้"
โดยใช้สมองเป็นห้องแล็ปปฏิบัติการ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
โลกุตรธรรมที่ท่านจะเข้าถึงได้นั้น
ท่านต้องพึ่งตนเองล้วนๆ
ท่านจึงต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะ
ด้านการใช้จิตและปัญญาของสมองสองซีก
ต้องเรียนรู้มุมมองและวิธีคิดที่ถูกต้อง
ต้องมีความสามารถในการคิดรวบยอด

ถ้าท่านสอนตนเองไม่เป็น
พัฒนาตนเองด้านเหล่านี้ไม่ได้ง่ายๆ
เชิญเข้าร่วมค่ายปฏิบัติธรรมลีลาใหม่
ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์"
ที่จิตจักรวาลสถานธรรม ณ ภูกระต่าย
จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกๆเดือนสิ
เรายินดีจะช่วยเหลือท่านนอกเวลาให้เอง
(มีค่าใช้จ่าย)

ถ้าท่านยังเข้าถึงความฉลาด
ของสมองทั้งสองซีก คือซ้ายและขวายังไม่ได้
เส้นทางแห่งการรู้แจ้งของท่านก็จะไม่สว่าง
เมื่อบนเส้นทางเดินยังขาดแสงสว่าง
ท่านคงจะก้าวย่างไปให้ไกลจนสุดทาง
คือหลุดพ้นก็คงยังจะไม่ได้เช่นกัน

เพราะท่านยังหยิบปัญญาที่มีอยู่ในตน
มานิพพานทุกสิ่งไม่ได้นั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-10-2017