08 เมษายน 2558

คำถามจาก คุณไชยยา ตอนที่ 3



คำถามจาก: คุณไชยยา แซ่ยอง
.............................................

เรียนท่านอาจารย์ครับ...

๑) ในประวัติของพระเยซู 
เห็นว่ามีแต่เรื่องราวพระองค์ท่านตอนประสูติ 
แล้วก็ข้ามไปจนถึงช่วงประกาศศาสนาเลย 

มีคนกล่าวว่า 
ประวัติพระองค์ที่หายไปนั้น 
พระองค์ได้เดินทางสู่ดินแดนตะวันออก 
เพื่อศึกษาหลักปรัชญาทางพุทธศาสนา... 

ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? 
อย่างไร ?

ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา: 
ต่อคำถามข้อ 1 ของท่าน
....................................

1.องค์เยซูก็ทรงมีภูมิลำเนา
อยู่ในดินแดนซีกตะวันออกอยู่แล้ว
จะให้พระองค์เสด็จไปตะวันออกไหนอีกล่ะ

2.ประวัติหลังประสูติที่หายไป
เป็นเพราะพระองค์มิได้เล่าให้ใครฟัง

ดั่งเช่นทุกวันนี้ตัวเราใครๆก็รู้ว่า
ภูมิลำเนาอยู่ไหน เรียนอะไรมา
แต่คนตั้งค่อนโลกก็ยังไม่รู้ว่า
ตลอดระยะเวลา 7 ภพชาติของเรา 
และตลอดระยะกว่าสามสิบปีที่ผ่านมาเนี่ย
เราได้ทำอะไรเพื่อมนุษย์โลกไปแล้วบ้าง

คงรอวันอนาคตกระมัง
ที่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายจะรับรู้กันได้บ้าง
ว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจอันใด
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

3.ถ้าท่านคิดว่า.....
เพราะเราบวชเรียนมานาน
และต้องมีการเดินทางไปศึกษา
หลักปรัชญาพุทธศาสนา
ยังดินแดนแห่งพระพุทธองค์มาแล้วแน่ๆ

จนจดจำพระคัมภีร์ของศาสดาได้อย่างขึ้นใจ
จึงค่อยมากล่าวธรรมะต่อชาวโลกได้อย่างทุกวันนี้นั้น

มันก็คงไม่ต่างจากการที่ท่านเชื่อว่า
องค์เยซูคริสต์เจ้า......
สามารถกล่าวธรรมะเด็ดๆดีๆด้วยวลีศักดิ์สิทธิ์
จนเป็นศาสนาที่ผู้คนนับถือกันมาก
เป็นอันดับหนึ่งของโลกได้
เพราะได้ศึกษาหลักปรัชญาพุทธศาสน์
มาแล้วนั่นแหละ

เนื่องจากบางท่านเชื่อว่าถ้าไม่เคยศึกษามาก่อน
พระองค์จะทรงเป็นยอดมหาคุรุไม่ได้
คล้ายๆอย่างนั้น....

4.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พระพุทธองค์ทรงพระปรีชายิ่ง
พระธรรมที่กล่าวสอน
ล้วนได้จากปัญญาญาณของพระองค์เอง
จากประสบการณ์ตรงของพระองค์ล้วนๆ
จนทั้งหมดทั้งสิ้น....

5.แต่สำหรับองค์เยซูคริสต์เจ้า
รวมทั้งการเป็นตัวเราเองจนทุกวันนี้นั้น
ทุกถ้วนถ้อยสัจธรรม
ทั้งโลกิยะ โลกุตระ และอนุตระ

หาใช่ได้มาจากประสบการณ์ทางปัญญา
และประสบการณ์ชีวิตส่วนตนเพียงด้านเดียว
ดั่งคุรุของท่านหรอกนะ

องค์เยซูทรงตรัสต่อศิษยานุศิษย์
ของพระองค์เสมอมิใช่หรือว่า
พระองค์ทรงกล่าวพระวจนะตามพระเจ้า

เราเองก็กล่าวเอาไว้ทุกครั้งว่า
เราสื่อพระโอวาทมาจากองค์จิตจักรวาล
เรามิได้กล่าวเองเออเองเลยสักนิด

ดังนั้น....สัจธรรมที่ทรงกล่าว
จึงเป็นดั่งพระโอวาทแห่งพระเจ้า
ซึ่งได้รับการสื่อถ่ายทอด
ผ่านคลื่นการคิดจากพระเจ้า
คือองค์จิตจักรวาลในยุคนี้นั่นเอง

เป็นการกล่าวพระโอวาท
ที่ได้จากการสื่อถ่ายทอดคลื่นการคิด
ในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง
ที่เรียกว่า "Vertical Telepathy"

เมื่อท่านทราบเยี่ยงนี้แล้ว
เราก็จะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์เยซูนั้นมิได้มีความจำเป็นจะต้อง
เดินทางจากภูมิลำเนาไปไหนๆให้ยากเหนื่อย
เพราะพระองค์ประทับอยู่ตรงไหนเวลาใด
ก็ทรงสามารถสื่อพระโอวาทกับพระเจ้า
ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว....

6.มนุษย์ทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
นัยความหมายของคำว่าพระศาสดา
สำหรับพวกท่านนั้น
หมายถึง ผู้ใดผู้หนึ่งในยุคนั้นๆ
ที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็น
ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งตน

7.แต่สำหรับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในทุกมิติ
ผู้เป็นพระเจ้าเหนือทั้งปวงนั้น
ความหมายของคำว่า "พระศาสดา"
มิได้ทรงหมายความเพียงเท่านั้นหรอกท่าน

พระศาสดาด้วยนัยแห่งองค์จิตจักรวาล
ทรงหมายถึงดวงจิตธรรมญาณ
ที่ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้

เพื่อทำหน้าที่ "กล่าวพระโอวาท" 
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลก
ในพระนามแห่งพระเจ้า
เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า
เป็นบุตรเอกในพระองค์

เมื่อโลกถึงคราวคับขัน
อย่างกรณีถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
ที่พระบิดาทรงต้องพิพากษาโลก
เพื่อชำระโลกให้กลับคืนสู่สมดุลใหม่
และหาหนทางช่วยให้ลูกๆที่ตกค้างได้กลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่ทุกท่านจากมา
ในภพชาตินี้ให้มากที่สุดให้จงได้

พระองค์ก็ทรงใช้ให้เราย้อนกลับมา
ทำหน้าที่ในพระนามแห่งพระองค์อีกครั้ง

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-04-2015