26 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 9


(((9))) จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่ 9)

“จักรวาลวิทยา ภาคพิเศษ”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ตั้งแต่แปดล้านหนึ่งแสนล้านปีมาแล้ว.... (8,100,000,000,000 ปี)
ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพที่มีลักษณะเป็นสนามพลังงานรูปทรงกลมดั่งผลส้ม อันประกอบด้วยกาแล็กซี่น้อยใหญ่ 12,500 ล้านระบบ โดยมี 6 กาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้กับแกนกลางของเอกภพ จะประกอบด้วยระบบสุริยะถึง 7 ระบบ ซึ่งกาแล็กซี่ธารน้ำนมหรือกาแล็กซี่ทางช้างเผือกจะเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากาแล็กซี่ทั้งหมดจึงมีระบบสุริยะอยู่ด้วยกันถึง 2 ระบบ เพื่อสร้างสมดุลของกาแล็กซี่ใหญ่นี้ไว้นั่นเอง

ความจริงที่จริงแท้มีอยู่ว่า ถ้าเจ้าต้องการให้วงกลมวงหนึ่งสมดุลอยู่ตลอดเวลา เจ้าก็จักต้องรักษาพิกัดตำแหน่งของจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นเอาไว้ให้คงที่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเส้นรอบวงของวงกลมใดๆก็ตามมันเกิดจากจุดเล็กๆจำนวนมากมาเรียงต่อกันเป็นวงรอบจุดศูนย์กลางเดียวกัน โดยมันจะต้องมีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางที่เรียกว่ารัศมีเท่ากันตลอด ถ้าจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นพิกัดไม่คงที่ คือ โยกไปย้ายมาอยู่ตลอดเวลา วงกลมนั้นก็จะเสียสมดุลไปทันที สนามพลังงานคล้ายทรงกลมที่เรียกว่าเอกภพนี้ก็เช่นกัน หากบิดาแห่งเจ้าต้องการให้มีความสมดุลตลอดเวลาและตลอดไป ก็จำต้องกำหนดให้มีสรรพสิ่งหนึ่งรับหน้าที่คล้ายดั่งเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเดียวกัน และเงื่อนไขสำคัญก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้สรรพสิ่งนั้นมีพลังอำนาจในตนเองพอที่จะทำหน้าที่อันสำคัญนี้ได้อย่างยั่งยืน และสามารถที่จะคงความสมดุลในตนเองเอาไว้ได้ตลอดตรงพิกัดตำแหน่งที่ตั้งที่พระบิดาได้กำหนดหมายเอาไว้แล้ว

จากหลักคิดดังกล่าวนี้เอง บิดาแห่งเจ้าจึงได้กำหนดให้ดาวมวลแข็งดวงหนึ่ง อุบัติขึ้นและดำรงตนเองอยู่ตรงพิกัดตำแหน่งที่จะเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพ ทุกวันนี้พวกเจ้าเรียกดาวดวงนั้นว่า “ดาวเคราะห์โลก” แต่เนื่องจากว่าเอกภพอันเปรียบเสมือนเป็นห้องทดลองของพระบิดานี้มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณานับ การจะให้ดาวโลก (The Earth) ดำรงตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อแสดงบทบาทอันสำคัญนี้แต่เพียงลำพังแล้ว คงต้องกำหนดสร้างให้ดาวโลกที่เป็นดาวมวลแข็งนี้มีขนาดใหญ่มหึมาด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมจะยังผลให้เอกภพของพระบิดามีพื้นที่ว่างโล่งน้อยลง หมายความว่ามันจะมีความหนาแน่นไปด้วยสรรพสิ่งทางกายภาพ จนแลดูไม่สวยงามเป็นแน่แท้ พระบิดาจึงกำหนดสร้างดาวเคราะห์โลกให้มีขนาดและน้ำหนักมวลที่เหมาะสม โดยมีโครงสร้างทางกายภาพภายในดาวโลกเป็นไปตามที่เคยกล่าวให้เจ้ารู้ในจดหมายฉบับก่อนๆแล้ว
เมื่อบิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างโลกให้มีขนาดเล็กลง แน่นอนว่าพระบิดาก็จำเป็นจะต้องสร้างตัวช่วยที่จะช่วยกันเหนี่ยวรั้งโลกของเจ้าไว้มิให้โยกย้ายพิกัดไปมาจนเสียตำแหน่งผู้ทำหน้าที่รักษาจุดศูนย์กลางของเอกภพไปง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระบิดาจึงได้กำหนดสร้างระบบสุริยะขึ้นมาระบบหนึ่งโดยมีดาวเคราะห์โลกเป็นสมาชิกหนึ่งในเก้าดวง และมีพระสุริยะอีกหนึ่งดวงรับหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะที่ว่านี้

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ยังมีความจริงที่เกี่ยวกับดาวโลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้อยู่สิ่งหนึ่ง ที่นักดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาทั้งหลายเขาไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์อีกแปดดวงกับดาวโลกและดวงอาทิตย์ของระบบนั่นเอง
ความจริงที่ว่านี้ก็คือ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวโลกเป็นผู้ออกแรงดึงรั้งเพื่อนำพาดาวเคราะห์อีกแปดดวงพร้อมดาวเพื่อนคือดวงจันทร์ของแต่ละดวง โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเป็นวงรีโดยต่างดวงกันก็จะมีเส้นทางวงโคจรเป็นของตนเองไม่ทับกัน และวงโคจรนั้นก็กำหนดให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ดังนั้น พลังอำนาจที่สามารถฉุดรั้งให้ดาวโลกไม่สูญเสียพิกัดตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพดังกล่าวนี้ จึงเป็นผลจากพลังอำนาจในการเหนี่ยวรั้งของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อดาวโลกไว้ตลอดเวลาเสมือนว่าฉุดรั้งไว้ไม่ให้หน่ายหนีไปทางไหน และพลังอำนาจที่ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงเหนี่ยวรั้งดาวโลกไว้เหมือนกัน ในขณะที่ดาวโลกนั้นก็ฉุดรั้งชักพาดาวเคราะห์ทั้งแปดให้โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ตามการโคจรของตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนั้น บิดายังมีความรู้เสริมที่จะบอกกล่าวให้เจ้าได้ฉุกคิดฉุกรู้หรือฉุกสังเกตอีก 2 ประการก็คือ

1).จะทำให้ดาวเคราะห์แต่ละดวงรวมทั้งดาวโลกดวงนี้ มีความสมดุลในระบบของตนเองได้อย่างไร ในที่สุดพระบิดาก็ได้คำตอบที่พึงปรารถนาว่า จักต้องช่วยให้ดาวดวงนั้นเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ๆเหมาะสมด้วย ดาวดวงนั้นจึงจะเกิดการสมดุลขึ้นมาได้ ไม่ต่างจากลูกข่างที่มีการเหวี่ยงหมุนรอบแกนหมุนของตนเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ลูกข่างนั้นก็จะสามารถตั้งอยู่บนแกนหมุนได้โดยไม่ล้มลงชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน เพราะมันมีความสมดุลอันเกิดจากการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ สำหรับพลังของการเหวี่ยงหมุนของดาวดวงนั้นๆพระบิดาสร้างขึ้นมาได้อย่างไร จะเปิดเผยให้ลูกทั้งหลายได้เรียนรู้กันในโอกาสต่อไป

 2).จะทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวง รวมทั้งดาวโลกเองด้วย สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ผิดพลาดและปลอดภัย คือ ไม่ชนกันเอง หรือไม่ลื่นหลุดออกไปจากพิกัดที่กำหนดไว้จนจะยังผลให้ดาวโลกสูญเสียตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพไปได้อย่างไร
ในที่สุดพระบิดาก็คิดได้ว่าจะต้องหาหนทางทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวงที่จะโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ มีแนวแกนหมุนรอบตัวเองที่ทำมุมเอียงเบี่ยงเบนออกไปจากแนวดิ่ง ในพิกัดที่เหมาะสมของแต่ละดาวซึ่งมันจะมีขนาดของมุมองศาเอียงไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดความกว้างของวงโคจร น้ำหนักมวล และอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ดวงนั้นๆเป็นสำคัญ โดยที่ต้องกำหนดให้ดาวแต่ละดวงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเอียงทำมุมกับแนวดิ่งก็เพื่อเกื้อกูลต่อการเลี้ยวโค้งอ้อมดวงอาทิตย์และการวกกลับตามแนวโคจรเดิม ซึ่งการวกลับเกิดได้ก็เพราะดวงอาทิตย์ออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้มิให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงโคจรหลุดออกไปจากระบบนั่นเอง เพราะถ้ามีใครหลุดออกไปจากระบบก็เท่ากับว่าดาวโลกจะสูญเสียพิกัดตำแหน่งของตนเองไปจากจุดศูนย์กลางของเอกภพทันที

แต่เนื่องจากว่ากาแล็กซี่ธารน้ำนม (Milky Way) นี้ มีระบบสุริยะรวมทั้งสิ้น 2 ระบบ บิดาแห่งเจ้าจึงต้องกำหนดให้ดาวพลูโตที่เป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้าซึ่งมีวงโคจรอยู่นอกสุด เป็นดาวเคราะห์ของอีกระบบสุริยะหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยค้ำจุนระบบสุริยะทั้งสองระบบให้สมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไป บทบาทของดาวพลูโตที่เจ้าจะสังเกตพบก็คือ ดาวดวงนี้จะมีวิถีการโคจรที่ไม่สม่ำเสมอ บางปีดูเหมือนว่าจะหายออกไปจากระบบจนคล้ายกับว่าระบบสุริยะของโลกจะมีดาวบริวารของดวงอาทิตย์เพียงแค่แปดดวงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะดาวพลูโตต้องทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน”

เศษส่วนของเมอริเดี้ยน หมายถึง การทำหน้าที่เป็นดาวเคราะห์ที่จะคอยรักษาสมดุลของระบบสุริยะทั้งสองระบบเอาไว้ให้มั่นคงนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
เมื่อบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างสรรพสิ่งทางกายภาพขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจักต้องพิจารณาสรรพสิ่งทางพลังงานอันเป็นด้านของแก่นแท้ด้วยพร้อมๆกันไป ดังนั้น สิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ไว้ก็คือ บิดาแห่งเจ้ายังจะต้องคิดหาคำตอบให้ได้ว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเองมากพอที่จะดำรงอยู่และมากพอที่จะเป็นผู้นำพาฉุดรั้งดาวเพื่อนอีกแปดดวงให้สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันได้ตราบชั่วนิรันดร ซึ่งบุตรรักทั้งหลายจะสามารถพิสูจน์ความจริงที่ดาวโลกเป็นผู้นำพาดาวเพื่อนทั้งแปดโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ มิใช่แต่ละดวงต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันด้วยพลังอำนาจในแต่ละดาวเองแต่อย่างใดนั้น โดยให้ตรวจสอบแผนที่พิกัดตำแหน่งของดาวเคราะห์ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2623 ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าเป็นต้นไป ภายในเวลา 3 วันที่ว่านี้ที่ตั้งของดวงดาวในระบบสุริยะจะเป็นดังว่านี้

1).โลกจะเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ทั้งแปดดวง ดวงอาทิตย์จะอยู่ทางทิศตะวันออกของโลกในเวลาเก้าโมงเช้า
2).ดาวเนปจูนจะอยู่ใกล้โลกทางด้านตะวันออกมากที่สุด จะทำมุม 45 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
3).ดาวพฤหัสจะเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกออกมาทางทิศตะวันออกเช่นกัน ซึ่งพิกัดตำแหน่งจะอยู่ถัดออกมาจากดาวเนปจูน จะทำมุม 10 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
4).ดาวพุธจะเป็นดาวที่อยู่ถัดออกมาจากดาวพฤหัส ทางทิศตะวันออกของโลกเช่นกัน โดยจะทำมุม 5 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
5).ทางทิศใต้ของโลกในขณะเดียวกันนั้น ก็จะมีดาวอีกสองดวงดำรงอยู่ ดวงแรกอยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวพลูโต ซึ่งจะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลก
6).ดวงถัดออกมาคือ ดาวศุกร์ จะอยู่ตรงพิกัดทำมุม 20 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลกเช่นกัน
7).ดาวเคราะห์ที่เหลืออีก 2 ดวง จะมีพิกัดอยู่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลกทั้งคู่ ดวงที่อยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวยูเรนัส จะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลก
8).ดวงสุดท้ายที่อยู่ถัดจากดาวยูเรนัสออกมา คือ ดาวเสาร์ จะมีพิกัดทำมุม 45 องศาหรืออยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโลกพอดี

บุตรรักทั้งหลาย......
ความลับแห่งดวงดาวที่เปิดเผยให้เจ้ารู้นี้ มันจะเป็นความรู้ใหม่ของพวกเจ้าและเป็นความรู้สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ที่จะต้องเรียนรู้กันต่อไป หลังวันสิ้นยุค
ในวันเวลาที่พระบิดากำหนดไว้นี้ มันจะเวียนครบรอบในทุกๆ 360 ปีโลก เพื่อแสดงให้เจ้าเห็นว่าเมื่อแรกสร้างและกำหนดให้โลกเป็นแกนนำของระบบนั้น ดาวทั้งเก้าดวง จะดำรงตนเองอยู่ในพิกัดนี้และเป็นเช่นนี้กันมาตลอด เจ้าเห็นหรือยังว่าถ้ามิกำหนดไว้ให้โลกของเจ้าเกี่ยวพันกันกับดาวเพื่อนทั้งแปดและหนึ่งดวงสุริยะ กับให้ดาวพลูโตทำหน้าที่สองบทบาทในสองระบบสุริยะ คือ เป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยนแล้ว โลกของพระบิดาที่พวกเจ้าขันอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทนพระบิดา เพื่อช่วยให้โลกมีอำนาจและรักษาสมดุลค้ำจุนโลกไว้อีกแรงหนึ่งด้วยนั้น มันจะประสบผลสำเร็จด้วยดีมาตราบเท่าจนทุกวันนี้ได้หรือ.....ทุกสิ่งทุกเรื่องราวและทุกกลไกกระบวนการ ในสองมิติที่บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดไว้แล้วจึงเป็นสิ่งที่พวกเจ้าและทุกสรรพสิ่งจักต้องรักษาสัจจะ ต้องมีสัจจะ คือ ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ต้องทำมันให้ศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผลด้วยพลังอำนาจในตัวเจ้าเองให้จงได้ พระบิดาประทานมาให้แก่พวกเจ้าทุกๆรูปธรรมกันอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “คุณสมบัติ” นั่นเอง

ถ้าปรารถนาจะรู้ว่า....พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวโลกนี้ มีนัยอะไรที่เจ้าต้องรู้อีกบ้าง บิดาแห่งเจ้าจะเล่าให้ฟังในจดหมายถึงลูก ฉบับต่อไป...

ถ่ายทอดคลื่นความติดจากองค์จิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
--------------

ความรู้ใหม่จากพระบิดา จะยังความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า องค์จิตจักรวาล คือ พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือพระเจ้า....และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ามีจริงซึ่งมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น...ไม่ว่าเธอจะกล่าวพระนามพระองค์ว่าอย่างไร พระองค์ก็มีเพียงหนึ่งเดียว....
------------------------------------------------

ATTN:Punyaporn Rermrat Danchaiyakul
Q1:พระปฐมหรือองค์ประถม เป็นความหมายว่าผู้สร้างใช่ใหมคะ ไม่กล้าถามใครมาถามอาจารย์ค่ะ?
A1:
1.ความจริงแล้วพระปฐม-องค์ประถม-องค์ปฐม หรือไรที่เธอถามมาเนี่ย...เธอน่าจะถามคนที่พูดให้เธอฟัง หรือไม่ก็ถามคนที่เขาเป็นเจ้าของความรู้นี้นะ การถามเขาเพราะว่าอยากรู้นั้นเขาไม่น่าจะตำหนิเธอหรอกนะ
2.เธอเอาความรู้ของผู้อื่นที่มิใช่ความรู้ขององค์จิตจักรวาลมาถามเรา...เราคงตอบคำถามเธอไม่ได้ ต้องขออภัยจริงๆ เพราะเราเชี่ยวชาญแต่องค์ความรู้ที่พระบิดาประทานมาให้เราสื่อสอนมนุษย์โลกนี้เท่านั้น สิ่งใดที่พระองค์มิได้ตรัสมาหรือว่ามิเคยตรัสไว้เราไม่รู้หรอกเธอ อีกอย่างเป็นเพราะเราไม่ต้องการก้าวล่วงคนที่เขาเป็นเจ้าของความคิดความรู้นั้น ทั้งนี้ไม่ว่าความรู้ที่เธอถามมานั้นมันจะถูกหรือจะผิด มันจะจริงหรือจะเท็จก็ตาม...
3.แต่สำหรับความรู้ของเราจากประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งมิใช่ความรู้จากองค์จิตจักรวาลแล้วคำว่า "องค์ปฐม" นั้น เราทราบว่ามนุษย์ผู้กล่าวถึงเป็นรูปธรรมแรกในยุคปลายนี้ คือ ท่านนักบวชนามว่า "ฤาษีลิงดำ" ว่าแต่ว่าเธอรู้จักสมณะผู้มากด้วยบุญบารมีท่านนี้มั้ยล่ะ ซึ่งสมณะท่านนี้ให้ความหมายของคำว่า"องค์ปฐม"ไว้ว่า หมายถึง นักบวชในกาลอดีตรูปธรรมหนึ่งที่สามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของมวลชาวพุทธได้นั่นแหละ
4.สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็สามารถบรรลุมรรคผลสูงสุดคือคืนกลับแดนสุญตาในสภาวะนิพพานได้
Q2:ขณะนี้ตามที่ทราบในเครือข่ายการสื่อสารว่า หากมีการใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนาจะมีโทษด้วย เราคงต้องดูแล และเป็นกำลังใจอาจารย์ในการให้องค์ความรู้ที่สมควรรู้ เพราะต่างความคิดกันอยู่แล้ว หากเขาไม่เปิดใจโดยการฟังจากที่นี่ด้วยและเอาปัญญาของเขามาใช้พิจารณา
A2:
1.เธอเคยพบเจอหรือที่ในยุคนี้ มีคนใช้วาจาไม่สุภาพ(ลบหลู่-ดูหมิ่น-ก้าวล่วง-ด่า)ต่อพระพุทธศาสนาน่ะ...เราว่าไม่มีมั้ง? ถ้าจะมีก็คงจะมีแค่คนทั่วไปที่เขารู้เท่าทันเขาด่าว่าหรือประนามไอ้คนที่ชอบอุตริเอาพระพุทธศาสนาหรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นมาแอบอ้างเพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงเสียมากกว่า....
2.ปัญญาชนและวิญญชนทั้งหลายเขาไม่โง่หรอก เพราะเขารู้ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาที่เป็นของแท้(ย้ำ) ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประเสริฐพระองค์หนึ่ง ในจำนวน 24 พระองค์นั่นแหละเธอ มิมีแก่นธรรมข้อใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้แล้วพระบิดาเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่พระบิดาทรงเห็นแล้วว่ามีมนุษย์ไม่น้อยเลยที่นำเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาแปลความผิดเพี้ยนจนไม่ถูกต้องกันเสียเองอย่างไม่เกรงความผิดบาปด้วยซ้ำไป ถ้าความหมายของเธอที่ว่า "ใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนา" หมายถึง ก้าวล่วง เราก็ยืนยันว่าไม่มีใครก้าวล่วงพระพุทธองค์แน่นอน พระศาสดาพระองค์อื่นๆก็ไม่เคยก้าวล่วงพระพุทธองค์และไม่ก้าวล่วงกันและกันด้วย ส่วนคำว่าก้าวล่วงพระศาสนานั้น คนที่พูดน่ะหมายถึงอะไร? อะไร คือ ศาสนา?
3.มนุษย์โลกเสรีนี้อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเธอจะก้าวล่วงใคร พระศาสดา คนดี คนบ้า คนชั่ว หรือแม้แต่ตัวเอง เธอจักได้รับผลกรรมนั้นทั้งสิ้น...การนำเอาพระศาสดามาแอบอ้างทั้งๆที่มิใช่หน้าที่ มิได้รับอนุญาตและรู้ไม่จริงนี่ก็ถือเป็นก้าวล่วงเช่นกันมิใช่หรือ ถ้าสอนธรรมะผิดๆก็ตกนรกขุมที่ 13 เหมือนกันแหละเธอ...
4.ขอบใจนะที่เป็นห่วงการสอนธรรมะของเรา แสดงว่าเธอเพิ่งรู้จักเราล่ะสิ...เราสอนธรรมะในนามพระบิดา In The Name of God! หรือองค์จิตจักรวาล เราสื่อสารกับพระองค์ท่านในระบบจิตสู่จิต คนเดียวในโลก...ธรรมะทุกถ้อยอักษร เรามิได้กล่าวเองหรอก...นักเรียนทุกคนในห้องเรียนนี้เขายินยันได้ เพราะเขาร้จักเรามานับสิบปีแล้ว ลองถามพวกเขาในห้องนี้ดูสิเธอ...สบายใจได้ อย่าห่วงเราเลยนะ...ขอบใจเธออีกครั้ง...ห้องเรียนของเราสอนให้คนฉลาดขึ้น รู้ธรรมที่ถูกต้อง รู้ปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่หลงทางไปนิพพาน....ใครเห็นด้วยช่วยยกมือขึ้นหน่อย...เร้ววว....

ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
-------------