24 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 8


จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่8)

“โลก มนุษย์ และสัตว์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะต้องรู้ว่า บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ และรูปธรรมของสรรพสัตว์ที่มีชีวิตน้อยใหญ่หลากหลายรูปแบบเอาไว้ให้พวกเจ้า เข้ามาทำหน้าที่เป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายในรูปธรรมนั้นๆ เพื่อทำการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าในการทำหน้าที่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ของดาวเคราะห์โลกทั้งสองมิติ คือ มิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้กับมิติโลกทางด้านกายภาพด้วยกันทั้งสิ้น มิมีผู้ใดยกเว้นเลย เนื่องจากบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดจำนวนรูปธรรมอันหมายถึงน้ำหนักมวลโดยรวมของพวกเจ้าเอาไว้ เพื่อสร้างสมดุลของดาวเคราะห์โลกดวงนี้เอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าซึ่งฉลาดและมีพลังอำนาจเหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจึงต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายหรือเข่นฆ่าพวกเขาที่อ่อนด้อยกว่า ที่สำคัญคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้าที่เป็นมนุษย์และจิตวิญญาณแก่นแท้ของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายทั่วโลกนั้น ต่างก็ล้วนเป็นบุตรรักแห่งบิดาหรือเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

การทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกของพวกเจ้านั้น หากจะปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จได้พวกเจ้าก็จะต้องรู้ว่า........
ภารกิจนั้นคืออะไร?
จักต้องปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะบรรลุผลสำเร็จได้ดังประสงค์?
คำตอบโดยสรุปจากจดหมายฉบับที่ผ่านมา ซึ่งบิดาแห่งเจ้าได้กล่าวไว้นานแล้วมีดังนี้

1).ภารกิจของพวกเจ้าที่มีรูปธรรมเป็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งอยู่ในน้ำ ในทะเลลึก-มหาสมุทร บนบก ในดิน และในอากาศ ก็คือ การเข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันที่พวกเจ้าเห็นแล้วเรียกพวกเขาว่า “สัตว์สังคม” นั่นแหละ โดยเน้นการใช้จิตสัญชาตญาณไร้เดียงสาเป็นตัวขับเคลื่อนพลังแห่งรักของพระบิดาออกมาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นสำคัญ เมื่อจบสิ้นอายุขัยเพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมเสื่อมทรุดหลุดสภาพไปตามกาลเวลาอันเหมาะควรแล้ว พวกเขาก็จะย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ วนเวียนแบบนี้เรื่อยไป เหตุเพราะว่าพี่ๆน้องๆของเจ้าซึ่งเป็นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้ขันอาสาพระบิดาเดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่ระบบโลกโดยไม่ขอกลับบ้านหรือกลับคืนสู่แดนสุญตานอกระบบเอกภพตราบชั่วกัลปาวสานกันเลยทีเดียว พวกเจ้าจึงสมควรเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” มากกว่า เพราะพวกเขาจะพากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ตลอดมาและตลอดไป การเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” จึงฟังดูแล้วไพเราะกว่าสง่างามกว่าเรียกพวกเขาว่า “สัตว์โลก” หรือ “สัตว์เดรัจฉาน”

2).ส่วนภารกิจของพวกเจ้าที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น มิได้แตกต่างไปจากสรรพสัตว์ทั้งหลายแต่อย่างใด นั่นก็คือ เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงบทบาทคน 2 มิติ ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกด้านบวกของตนเอง และแน่นอนว่าสิ่งที่ช่วยให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าได้ มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ พลังอำนาจแห่งรักที่เร้นอยู่ในแก่นแท้หรือตัวตนของเจ้าเอง

3).สรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงพลังแห่งรักในตนเองที่โลกต้องการได้ ผ่านการสั่นสะเทือนเป็นสัญชาติญาณของแก่นแท้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของพวกเขาเองโดยตรง ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไร เพราะบิดากำหนดให้พวกเขาขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้งสองมิติได้ด้วยอำนาจจากแก่นแท้โดยตรงหรือเป็นไปตามธรรมชาติของพวกเขา มิพักต้องมีเงื่อนไขบททดสอบใดๆช่วยเหลือทั้งสิ้น แต่สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์อย่างเช่นพวกเจ้านี้ จะสามารถน้อมนำเอาพลังแห่งรักจากแก่นแท้ออกมาได้ จักต้องอาศัยบททดสอบหลากหลายในชีวิตประจำวัน ทั้งผู้อื่นช่วยหยิบยื่นให้และที่ตนเองสร้างเงื่อนไขนั้นๆกันขึ้นมาเอง โดยเงื่อนไขที่ว่านี้มันจะมีทั้งด้านบวกคือดี และด้านลบคือด้านที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นหยิบยื่นมาให้หรือเงื่อนไขที่เจ้าสร้างขึ้นมาให้เป็นปัญหาของตนเองก็ตาม





บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย......
สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ดังเช่นพวกเจ้านั้น “เงื่อนไขบททดสอบ” ที่จะใช้กระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด เพื่อเปิดมิติแห่งแก่นแท้แล้วนำเอาพลังแห่งรักจากพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาสู่ระบบโลกออกมาให้ได้นั้น ปกติแล้วจะเป็นเงื่อนไขที่เผชิญกันในชีวิตประจำวัน เพื่อทดสอบสภาวะจิตของพวกเจ้าด้วยกันเอง ใน 3 ประการ คือ 

1).บททดสอบความอดทน: 
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเอง ในขณะที่จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่นๆที่เขามีพฤตินิสัยหลายแบบที่เจ้าเองไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการ

2).บททดสอบความอดกลั้น:
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเองได้และสามารถที่จะแบ่งปันรักนั้นแก่คนอื่นๆด้วยในเวลาเดียวกัน แม้คนอื่นๆนั้นจะมีพฤตินิสัยบางประการที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการหรือไม่ชอบ

3).บททดสอบการให้อภัย:
บททดสอบบทนี้ เป็นบททดสอบที่เป็นเงื่อนไขที่ยากสุดๆในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าเลยทีเดียว เช่น เจ้าต้องให้อภัยให้ได้แม้แต่บุคคลที่เจ้าเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้อภัย เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นในกาลอดีตเจ้าจะสามารถเข้าถึงการให้อภัยผู้อื่นได้ ก็จักต้องสอบผ่านบททดสอบความอดทน และความอดกลั้นมาอย่างโชกโชนแล้วเท่านั้น เพราะการให้อภัยของเจ้ามันจะต้องกระทำผ่าน PARINYA MODEL: ว่าด้วย “3 ยอ” นั่นคือ ยอมรับ ยอมปรับ และยอมร่วมให้สำเร็จเสียก่อน

นอกจากนั้นเจ้ายังต้องรู้อีกว่าเมื่อปฏิบัติตาม “ปริญญาโมเดล” ทั้ง 3 ยอที่ว่านี้แล้ว เจ้าก็ยังไม่อาจจะเข้าถึงพลังความรักของพระบิดาที่เร้นอยู่ข้างในแก่นแท้ของเจ้าได้หรอก เจ้ายังจะต้องใช้ปริญญาโมเดล ว่าด้วย “การตัดกรรม” ปิดท้ายการทำบททดสอบข้อนั้นๆของเจ้าด้วยเจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงบททดสอบการให้อภัย อันเป็นพลังแห่งรักระดับขีดสุดในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว 
กุศโลบายของปริญญาโมเดล เพื่อการตัดกรรม คือ การสอนจิตตนเองให้นึกคิดด้านบวกนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วมันทำได้ไม่ง่ายเลย ถ้าพวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าถึง “3 ยอ” มาก่อน 
การนึกบวกคิดบวก เพื่อการตัดกรรมใดๆกับใครอื่น ที่เขากระทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามต่อเจ้าในชีวิตประจำวันนั้น มี 4 แนวคิดดังนี้ คือ
ช่างเขาเถอะ....
ม่เป็นไร.....
ยังไงก็ได้....
แค่นี้ก็ดีแล้ว....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะเห็นได้ว่า บททดสอบจิตสำนึกที่จะนำไปสู่ความรักขั้นสูงสุดได้นั้น มันจะต้องผ่านปฏิบัติการทางจิตหลายขั้นตอนอยู่ แต่ละขั้นก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถอันเกิดจากความมุ่งมั่นของตัวเจ้าเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถฝึกฝนตนเองได้ในชีวิตประจำวันจากสถานการณ์ใดๆในชีวิตที่เจ้าพบพานผ่านเผชิญ ด้วยเหตุดังว่านี้แหละที่บิดาแห่งเจ้าจึงเปรียบโลกเสรีดวงนี้ไว้ว่าเป็นเสมือน “ห้องเรียนขนาดใหญ่” หรือโรงเรียนแห่งหนึ่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่พระบิดาส่งพวกเจ้าเข้ามาเป็นนักเรียนเพื่อเรียนรู้ให้สำเร็จ “บทเรียนโลก” ด้วยการทำข้อสอบให้ผ่าน “บททดสอบจิตสำนึก” ทุกข้อกันให้ได้นั่นเอง และพวกเจ้าก็ล้วนรับรู้ความจริงเหล่านี้กันตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อเจ้าเข้าสู่การเกิดเป็นคนสองมิติเข้าจริงๆทุกสิ่งจึงต้องถูกปกปิดมิติเอาไว้ชั่วคราว เพราะมันเป็นเงื่อนไขหนึ่งในกระบวนการทดสอบ ที่เจ้าจะนึกรู้ความจริงเสมือนรู้ข้อสอบก่อนเข้าห้องสอบไม่ได้ มันจะทำให้การสอบนั้นเป็นโมฆะ หากเจ้าประสงค์จะรู้แจ้งในความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จำต้องยกระดับความฉลาดทางปัญญา และพัฒนาจิตสู่สุญตากันให้ได้ก่อน ความลับเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้จึงจะถูกเปิดออก เจ้าก็จะ Enlightenment ด้วยตนเองได้ เพราะเจ้าสามารถเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน (Oneness) กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลของบิดาแห่งเจ้าได้อย่างกลมกลืน

ภารกิจแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกฎจักรวาล เป็นกฎของพระบิดา ที่พวกเจ้าและโลกเสรีจะต้องสอบผ่านบททดสอบนั้นๆให้จงได้ดังกล่าวแล้ว ถ้าพวกเจ้าร่วมกันทำสำเร็จพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลกที่เจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานได้ โลกเสรีนี้ก็จะมีพลังอำนาจในตัวเองและสมดุลตลอดไป ยังผลให้เอกภพทั้งระบบพลอยสมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้เอาไว้ว่าจิตสำนึกของพวกเจ้ากับจิตสำนึกของดาวโลกนี้นั้น มันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าจิตสำนึกโดยรวมของพวกเจ้าสั่นสะเทือนไปในด้านลบ มันจะยังผลให้จิตสำนึกของโลกพลอยสั่นสะเทือนไปในทางด้านลบตามไปด้วย

กับการที่โลกกำลังเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น ในทุกวันนี้นั้น มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจิตสำนึกโดยรวมของมนุษย์โลกมันสั่นสะเทือนค่อนไปในทางต่ำลงๆทุกวันใช่หรือไม่?
ถ้าพวกเจ้าต้องการให้โลกเสรีนี้เกิดการสุขสงบ ไม่มีภัยพิบัติใดๆรุนแรงเกิดขึ้นหรือให้มันเกิดขึ้นน้อยลงแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็จักต้องยกระดับจิตสำนึกตนเองให้สูงขึ้นทางด้านบวกที่กำลังดิ่งลงต่ำอยู่นี้ให้จงได้และให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่โลกทั้งใบจะหายนะ.....
แน่นอนว่า....หน้าที่พวกเจ้า ต้องเกิดมาเป็นคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ชายหญิง ต้องเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้ ต้องไม่มีเส้นแบ่งให้เกิดการแตกแยกใดๆโดยเด็ดขาด หากจะมีก็แค่เพียงความแตกต่างที่เจ้าสามารถเลือกที่จะนำมันมาสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้จงได้
บุตรรักทั้งหลาย เจ้าจะเอาความแตกต่างมาสร้างความแตกแยกไม่ได้หรอก ความแตกต่างเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกันขึ้นมาได้.....

ป.วิสุทธิปัญญา
24-01-2013