11 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 3



จดหมายถึงลูก: ฉบับที่ 3
“หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
นับเนื่องนานกาลผ่านมาได้ หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งกาลสิ้นยุค จนล่วงเลยมาได้กว่า 800 ปีเศษตราบกระทั่งบัดนี้นั้น....นอกจากมันจะเป็นกาลเวลาในมิติโลกที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ใช้มันเพื่อการเรียนรู้ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ ด้วยความสัตย์ซื่อตามนัยแห่งพันธะสัญญา 6 ให้ลุล่วงไปอย่างสิ้นเปลืองแล้ว มันยังเป็นห้วงเวลาที่บิดาแห่งเจ้าเฝ้ามองและรอคอยที่จะได้ประจักษ์ต่อความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์กับการย้อนคืนกลับบ้านสู่แดนสุญตา อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนพวกเจ้าอยู่อย่างวังเวงด้วยเช่นเดียวกัน
บทสรุปเมื่อถึงกำหนดแห่งกาลสิ้นยุคก็คือ มีพี่ๆน้องๆของพวกเจ้าจำนวนเพียงนับนิ้วมือได้เท่านั้นที่เขาสามารถใช้เส้นทางที่เรียกว่าทางสายน้ำนม (ทางช้างเผือก) เดินทางสู่ประตูสวรรค์ คือ"ด่านนภาลัย" แล้วข้ามผ่านออกไปได้อย่างสง่างาม สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ขณะที่พวกเจ้าผู้เป็นจำนวนมวลพลังงานก้อนใหญ่ กลับยังหน่วงรั้งซึ่งกันและกันไว้ด้วยเหตุปัจจัยแห่งการหลงในมิติของมายา เพราะการเรียนรู้ที่จะใช้กลไกอายตนะทั้งหกให้เป็นและใช้มันให้ถูกต้องนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ซึ่งยังผลให้ความสามารถในการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองตกต่ำกว่าศักยภาพอันเป็นอำนาจแท้จริงที่มีอยู่ในตนร่วม 80% ตามไปด้วย สภาวะจิตพวกเจ้าทั้งมวลใหญ่ต่างจึงถูกครอบงำโดยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และความงมงาย เพราะในระบบโลกเสรีของพวกเจ้ายังขาดคัมภีร์ที่ถูกต้อง ยังขาดครูผู้เป็นองค์รวม และพวกเจ้าก็ยังขาดการรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาในตนเองโดยแท้

“เหตุแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจ และการกลับบ้านหรือนิพพานไม่ได้แม้ล่วงเลยวันสิ้นยุคพลังงานเก่าอันเป็นกาลสิ้นยุคของพวกเจ้ามานานปีเหล่านี้มีสาเหตุสำคัญสูงสุด คือ......
เพราะพวกเจ้าขาดปัญญาญาณซึ่งมีอยู่ในตน จึงยังผลให้เข้าถึงอภิปรัชญาที่เป็นองค์รวมซึ่งเกี่ยวเนื่องระหว่างตัวเจ้าเอง บิดาแห่งเจ้าและทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานจักรวาลสากลที่พวกเจ้าเรียกกันสั้นๆว่า "สัจธรรม" ให้โปร่งแจ้ง-ทะลุแจ้งด้วยตนเองกันไม่ได้ ทั้งๆที่พวกเจ้าหลายรูปธรรมก็มีความเพียรกันอยู่หลายภพชาติที่ผ่านมาแล้ว....
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
พวกเจ้าจะประสบผลสำเร็จในภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวเคราะห์โลกเสรีได้อย่างไรกัน ต่อให้ใช้เวลาเต็มที่สักกี่หมื่นปีก็ตาม ถ้าพวกเจ้าแต่ละคนยังเป็นเช่นที่พวกเจ้าเป็นกันอยู่เยี่ยงที่จะกล่าวต่อไปนี้......

1).แสวงหาแต่ความรู้ (ธรรมะ) จากผู้ที่ตนชอบและเชื่อว่าเป็นครูของตนได้ โดยลืมใช้หลักแห่งกาลามสูตรเป็นแนวทางแห่งการรับธรรม ท้ายที่สุดแล้วหากยังชอบและเชื่อครูอยู่ ก็กลายเป็นงมงายไปกับครูซึ่งเป็นได้แค่เพียงเจ้าลัทธิของตนเท่านั้น เพราะใครก็ตามเพียงทำให้เธอชอบและเชื่อ เขาคนนั้นก็เป็นครู(เจ้าลัทธิ)ของเธอได้อย่างง่ายดายแล้ว....

2).แสวงหาแต่ครูที่ทำให้ตนเชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งในแสงธรรมนั้นๆอย่างแท้จริง...พฤติกรรมเยี่ยงนี้ดูดีกว่าที่กล่าวมาในข้อแรก เพราะดูเหมือนว่ายังพอมีพอใช้สติปัญญาในการแสวงหาครูอย่างรอบคอบระมัดระวังตัวมากขึ้น...แต่ก็น่าเศร้าใจที่เธอจำนวนมากมายก็ต้องตกเป็นสาวกของเจ้าลัทธิพวกนั้นไปเสียอีก เพราะครูที่เธอเชื่อแล้วว่าเป็นผู้รู้แจ้งของเธอนั้นดันมีความรู้ผิดๆ...รู้ไม่ถ่องแท้...เพราะครูของเธอก็ขาดการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่ในตนเหมือนกับเธอผู้ไปยอมตนเป็นศิษย์สาวกเข้าให้นั่นแหละ....
รายนามพวกเขาที่เธอชอบยกเอาชื่อนามของเขาขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อหมายข่มขู่พี่ๆน้องๆผู้พร่องธรรมคนอื่นๆนั้น มันเป็นตัวบ่งชี้ชัดว่านามพวกเขาที่เป็นครูของเธอ ซึ่งมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคมนั้น ถูกยกย่องยอมรับด้วยสาวกส่วนใหญ่ที่ยังขาดปัญญาญาณเพื่อการรู้แจ้งทั้งสิ้น....ในขณะที่คนพิเศษหรือผู้วิเศษของเธอนั้น เป็นแค่เพียงเด็กน้อยซุกซนคนหนึ่งซึ่งกำลังคลำหาหนทางกลับบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าพวกเขากำลังใช้วิธีลองผิดลองถูกลองทำอยู่...โดยผิดถูกนั้นต้องยอมแลกมันด้วยการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อแก้ไขเพื่อต่อยอดมันไปเรื่อยๆ ซึ่งกรรมวิธีของพวกเขา คือ สิ่งที่เขาบอกกล่าวให้เธอรู้ โดยทำตัวเป็นครูเป็นเจ้าสำนักสอนเธอเพื่อล่าสาวก อันหมายจะพิสูจน์ว่าถ้าเขามีสาวกเยอะๆซึ่งมีเธอรวมอยู่ด้วยคนนึง มันจะยังความเชื่อมั่นในการลองผิดลองถูกให้แก่เขาได้มากขึ้นนั่นเอง แต่พอเธอได้รู้เห็นเข้าด้วยเพราะคาดไม่ถึง-นึกเองไม่ได้ เธอจึงเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำให้ดู สอนให้เธอรู้มันน่าจะเป็นหนทางอันประเสริฐแน่ๆ โดยที่ทั้งครูทั้งศิษย์เองก็ยังไม่รู้จริงรู้แจ้งด้วยซ้ำไปว่า ที่รู้อยู่ปฏิบัติอยู่และสอนอยู่ เพียงเพราะเชื่อว่าใช่น่ะมันถูกต้องถ่องแท้แน่นอนแล้ว...มันจึงเป็นการซื้อขายความเชื่อเพราะว่าชอบโดยแท้...ซึ่งทั้งเจ้าลัทธิทั้งสาวกเองก็หลงผิดว่า ตนนั้นต่างได้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ทั้งๆที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเพียงแค่ "ตาบอดคลำช้าง” เท่านั้น

“ตาบอดคลำช้าง”

บุตรรักทั้งหลาย.....เจ้าลัทธิมิใช่พระศาสดา ที่จะสามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณพวกเจ้าได้หรอก....
นิทานเรื่องตาบอดคลำช้าง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนตาบอด 5 คนที่ เปรียบเสมือนดั่งคนพิเศษหรือผู้วิเศษทั้งห้าคนที่เธอชอบกล่าวอ้างต่อผู้อื่น เพื่อแสดงว่าตนเป็นศิษย์มีครูนั่นแหละ โดยตาบอดทั้งห้าคือผู้ที่จะแสวงหาความหมายที่เป็นอัตลักษณ์ของ "ช้าง" นั่นแหละว่า ช้างน่าจะมีนิยามว่าอย่างไร?

1.พวกเขารู้ว่า ถ้าจะเรียนรู้ว่าช้างอัตลักษณ์เป็นแบบไหน ก็ต้องใช้ผัสสะ ซึ่งยังดีกว่าเจ้าลัทธิของเธอบางคนตามที่เธอว่าที่พยายามจะดับผัสสะของอายตนะภายนอกภายในทั้ง 6 อย่างใดอย่างหนึ่งนั่น เพราะวาดฝันถึงอุเบกขาแบบผิดๆนั่นแหละนะ....ทั้งๆที่คนสองมิติที่เรียกว่าคนอย่างพวกเจ้านั้น อายตนะทั้งหมดดับเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น อายตนะไหนบกพร่องใช้การไม่ได้ หรือไปพยายามดับมันเข้า พวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนพิการไม่ครบอาการ 32 พระพุทธองค์ยังมิทรงอนุญาตให้บวชเลย เพราะกลไกการเรียนรู้มันชำรุด จะไม่อาจบรรลุธรรมจากการรู้แจ้งด้วยตนเองได้นั่นเอง

2.ตาบอดคนที่ 1 ไปคลำเจอขาช้าง เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนต้นไม้นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าต้นไม้นั้นมีลักษณะเป็นดุ้นใหญ่ผิวหยาบเหมือนขาช้างนั่นเอง...เป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆ....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนต้นไม้ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูอีกสี่คนต่อไปนี้

3.ตาบอดคนที่ 2 ไปคลำเจอลำตัวของช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนกำแพงนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่ากำแพงมันมีลักษณะแข็งแรง ผลักเท่าไหร่ก็ไม่เขยื้อนนั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกแล้ว....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนกำแพงที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดคนแรกและอีกสามคนต่อไปนี้เช่นกัน....

4.ตาบอดคนที่ 3 ไปคลำเจอเอางาช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนหอกนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าหอกมันมีลักษณะเป็นด้ามกลมปลายเรียวแหลม นั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนหอกที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสองคนแรกและอีกสองคนต่อไปนี้เช่นกัน....

5.ตาบอดคนที่ 4 ไปคลำเจอเอางวงช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวใหญ่นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูมันมีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูใหญ่ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

6.ตาบอดคนที่ 5 คนสุดท้ายไปคลำเจอเอาหางช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวเล็กๆนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูจะมีขนาดตัวเล็กๆ มีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูเล็กที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
บรรดาเจ้าลัทธิที่พวกเจ้าชื่นชมผสมยกย่องว่าเป็นครู จนชอบยกเอาชื่อนามกับความรู้ของพวกเขามากล่าวอ้างนั้น มันไม่ต่างกันกับนิทานเรื่อง "ตาบอดคลำช้างทั้ง 5 คน" นี่หรอกนะ.....

เธอตื่นเต้นแปลกใจกับความรู้ใหม่ ที่ได้จากครูที่เสมือนเด็กซุกซนซึ่งกำลังแสวงหาการหลุดพ้นด้วยการลองผิดลองถูกอยู่ เพราะยังเป็นผู้ขาดปัญญาเนื่องจากไม่รู้ว่าจะยกระดับจิตปัญญาของตนได้อย่างไร เนื่องจากดีแต่นึกไม่เคยฝึกคิด...ใช้จิตปัญญาไม่เป็น โดยอาศัยความเป็นอัตโนมัติอันเป็นคุณสมบัติของจิตเบื้องต้น ที่บิดาแห่งเจ้ากำหนดไว้ให้ใช้เพียงแค่วัยกุมารน้อย แต่พวกเจ้าก็ใช้สอยมันมาจนชราก็ยังหาวิธีเข้าถึงการคิดแบบกดปุ่มกันไม่ได้ ทั้งครูทั้งศิษย์จึงเป็นแบบที่เป็นกันอยู่....บ้างก็ย่ำอยู่กับที่ บ้างก็สับสนกับตนเอง บ้างก็หลงทางไปนิพพาน....บ้างก็เที่ยวบอกกับใครต่อใครด้วยเข้าใจว่าตนน่ะถึงนิพพานได้แล้ว....ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่านิพพานคืออย่างไร?

 “อย่าเอาเจ้าลัทธิมาแทนพระศาสดา”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความจริงที่พวกเจ้าต้องรู้ก็คือ นอกจากพระศาสดาของพวกเจ้าเช่น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น องค์เยซูคริสต์เจ้า องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า และพระองค์อื่นๆอีก 21 พระองค์ที่พวกเจ้าละลืมไปบ้างแล้ว มิมีผู้ใดเข้าถึงการรู้แจ้งที่สามารถกล่าวสัจธรรมอนุตรธรรมแห่งพระบิดาได้อย่างถูกต้องถ่องแท้และลึกซึ้งซึ่งบิดาแห่งเจ้ายอมรับว่าใช่แล้วใช่เลยหรอกนะ....แล้วเจ้าจะไปเชื่อเจ้าลัทธิอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างไร...แทนที่เจ้าจะหาความรู้อยู่ด้านเดียว ใยเจ้าไม่เร่งหาปัญญาใส่ตนให้มากๆควบคู่ไปด้วยเล่า ก็บุตรเอกแห่งบิดาที่จุติมาเป็นอาจารย์เจ้ามาเป็นผู้นำทางปัญญา มากล่าวโอวาทแห่งพระบิดาเจ้าเพื่อการปิดยุค เพื่อนำพาพวกเจ้ากลับนิพพานเป็นคำรพสามในรอบหกหมื่นปีนี่แล้วนี่ไง...ใยเจ้ามิใส่ใจใยดี
เจ้าคงไม่รู้หรอกว่า....อันความรู้ของเจ้าลัทธิทั้งหลายของเจ้าที่เปรียบดั่งตาบอดคลำช้าง เมื่อคลำแล้วเหมาเอาว่าช้างเป็นแบบนั้นแบบนี้ทั้งๆที่เข้าใจผิด สรุปผิด เชื่อผัสสะผิดๆ เพราะพวกเขาขาดปัญญา ขณะที่เจ้าเองก็เบาปัญญาได้แต่แสวงหาครูที่ในโลกนี้มันขาดผู้รอบรู้แท้จริง จึงยังผลให้พวกเจ้าหลงทางไปนิพพานกันมาตลอด จนสำนึกทางวิญญาณดิ่งเหว พลอยให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ป่วยหนักถึงขั้นตรีฑูต เพราะพวกเจ้าใช้ความรักค้ำจุนโลกไม่ได้ และหลงทางไปนิพพานดังกล่าวแล้ว....
คนโง่มักอวดว่าตนฉลาด คนฉลาดมักถ่อมตน และไม่ก้าวล่วงใคร โดยพร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยปัญญาในตนมากกว่าเรียนรู้เพราะว่าชอบเรียนรู้เพราะว่าอยากรู้ และเรียนรู้เพราะว่าเชื่อเท่านั้น
บุตรรักทั้งหลาย....

ในจักรวาลอันไพศาลนี้ เจ้าจงรู้ไว้ว่า นอกจากสิ่งที่เจ้ารู้เพราะอยากรู้ซึ่งอาจรู้ผิดพลาด รู้ไม่จริง รู้ไม่ถูกต้องแล้ว มันยังมีความรู้ที่เจ้าก็รู้ว่าตนยังไม่รู้ และมีความรู้ที่เจ้าไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้อยู่อีกมากมายนัก โดยเฉพาะความรู้ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก และความรู้ที่จะนำไปสู่ทักษะการนำพาแก่นแท้ตนเองกลับบ้านคือนิพพาน ในสภาวะของการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ....จงอย่าหลงงมงายและหลงตนเองอีกเลย

“ต้นไม้แห่งนก”

ถ้าเจ้าเปรียบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีรากแก้วเป็นต้นทางแห่งโลก ที่จะเชิดชูลำต้นกิ่งก้านใบสู่ท้องฟ้าเข้าหาสรวงสวรรค์แห่งบิดาเจ้า อันเป็นปลายทางแห่งนิพพานแล้ว กิ่งไม้สองกิ่งใหญ่ของต้นไม้ต้นนี้ที่เจ้าว่านั้น กิ่งหนึ่งย่อมเหมาะสมกับนักบวช-นักพรต นักรบแห่งแสงสว่างซึ่งเป็นนกสีเหลืองที่ละแล้วซึ่งอาสวะกิเลส ไม่มีครอบครัว มีตัวคนเดียว ใช้ยึดเกาะ โดยผู้นำกลุ่ม คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ขณะที่อีกกิ่งหนึ่งเหมาะสมกับนกหลายสีที่มีครอบครัวมีภารกิจทั้งทางโลกและทางธรรมใช้ยึดเกาะ โดยมีองค์เยซูคริสต์กับองค์นบีเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละยุคสมัยซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีแก่นแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยกิ่งนี้เป็นเส้นทางสู่นิพพานในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้งโดยแท้ ดังนั้น การที่เจ้าเป็นผู้ครองเรือนเจ้าจึงต้องอยู่ในกลุ่มของนกหลากสี โดยความหลากสีก็คือ บทละครชีวิตครอบครัวและสังคมที่พวกเจ้าขีดเขียนกันมาตั้งแต่ภพชาติแรกนั่นแหละ พวกเจ้าทุกคนจึงเป็นนกประเภทเดียวกัน ต้องเกาะอยู่กิ่งไม้เดียวกัน เจ้าจะไปเลือกเกาะกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งที่เป็นกิ่งของนกสีเหลืองแบบ "นกหลงฝูง" ไม่ได้....แม้ปลายกิ่งสุดท้าย จะเชิดชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เปรียบดั่งสวรรค์หรือแดนนิพพานเหมือนกันก็ตาม...

ป.วิสุทธิปัญญา
13-01-2013