23 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 7


“จิตสำนึกของมนุษย์กับดาวเคราะห์โลกล้วนเป็น 1 เดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย..
ไม่นานวันมานี้ พระบิดาได้เปิดเผยความลับเบื้องหลังมิติโลกที่สองตาเปล่าของพวกเจ้ามองไม่เห็น และพลังปัญญาของพวกเจ้าก็มิอาจเข้าถึงได้ด้วยตนเองไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของแก่นแท้หรือตัวเจ้าเองที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาปฏิบัติกันให้ลุล่วงภายในระบบโลก นั่นคือการสร้างพลังอำนาจให้แก่ดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดของตนเอง เพื่อกระตุ้นให้โลกเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามจิตสำนึกของพวกเจ้าไปด้วยอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันพวกเจ้ายังต้องช่วยให้โลกนี้สมดุล ด้วยการช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วยเช่นกัน บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลายคงจะไม่เลือนลืมความจริงที่จริงแท้ซึ่งเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของตนเองที่ว่านี้กันง่ายๆดอกนะ

ถ้าจะทำความเข้าใจว่า เจ้าจะช่วยเหลือโลกของเจ้าในภารกิจหลักทั้งสองประการที่ว่านั้นกันได้อย่างไรแล้ว ก่อนอื่นเจ้าก็จักต้องรู้ว่า ดาวเคราะห์โลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้นั้น พระบิดาได้กำหนดสร้างให้มีโครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างจากจินตนาการหรือสมมติฐานของฝ่ายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์โลกที่เจ้าร่ำเรียนฝังหัวกันมาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างสิ้นเชิง (จงดูภาพประกอบจากสไลด์) โดยเมื่อแรกสร้าง บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้มีโครงสร้างหลักทางกายภาพพอสังเขปดังนี้

1.ชั้นนอกสุด: 
เป็นบริเวณเปลือกโลกชั้นนอกที่มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้และหลากหลายสรรพสิ่งดำรงอยู่ แม้กระทั่งน้ำบาดาล น้ำใต้ดินก็อยู่ในเปลือกโลกชั้นนอกสุดนี้ด้วย
2.ชั้นที่สอง:
เป็นบริเวณที่ถัดลงไปจากชั้นนอก คือแผ่นเปลือกโลกที่เป็นหินแข็ง มีความหนาตั้งแต่ 60 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเมื่อแรกสร้าง พระบิดาได้กำหนดให้มันแยกออกจากกันอย่างอิสระจำนวนทั้งสิ้น 3 แผ่น เพื่อประโยชน์ในการยืดตัวหดตัวและเพื่อการดูดซับแรงสั่นสะเทือน อันเกิดจากการกระทำบนพื้นผิวโลกชั้นนอกสุด รวมทั้งการดูดซับปรับสมดุลแรงสั่นสะเทือนที่ถูกถ่ายทอดขึ้นมาจากภายในแกนโลกเอง เป็นต้น
3.ชั้นที่สาม:
เป็นชั้นของน้ำใต้โลกที่มีความลึกหลายร้อยกิโลเมตร น้ำส่วนนี้จะทำหน้าที่ค้ำจุนแผ่นเปลือกโลกทั้งหมดเอาไว้ ให้ลอยตัวอยู่ได้อย่างสมดุล เป็นน้ำร้อนที่มีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดหลายเท่าและร้อนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเธอจะสังเกตได้ว่าน้ำพุร้อนทั้งหลายที่พุ่งผ่านรอยแยกของเปลือกโลกขึ้นมาเกือบทุกแห่ง ล้วนมีความร้อนสูงในระดับที่ต้มไข่ให้สุกได้ภายในไม่กี่นาทีเลยทีเดียว
4.ชั้นที่สี่:
เป็นชั้นของสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “ของไหล” หรือแม็กม่า ซึ่งเกิดจากหินและแร่ธาตุต่างๆทั้งโลหะและอโลหะที่อยู่ในสภาวะหลอมละลายรวมตัวกันอยู่เพราะถูกย่างเผาด้วยความร้อนสูงเกินกว่าจะวัดค่าอุณหภูมิได้นั่นเอง ของไหลที่ว่านี้มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเมที่ร้อนแดงและเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าจึงต้องรู้ว่าความร้อนสูงสุดในระดับเลยจุดเดือดหลายร้อยเท่าของๆไหลที่ว่านี้นั้น มันจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการที่พวกเจ้าใช้ถ่านไฟร้อนๆต้มกาน้ำร้อนอยู่บนเตาจนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลานั่นแหละลูก จึงยังผลให้น้ำใต้โลกมีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดดังกล่าวแล้ว
5.ชั้นที่ห้า:
เป็นโครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์โลกชั้นในสุดหรืออาจเรียกว่า “แกนกลาง” ก็ได้ โดยแกนกลางของโลกที่ว่านี้หากเปรียบไปก็คล้ายดั่งเมล็ดในของผลไม้ประเภทผลเดี่ยวเมล็ดเดียวทั้งหลายนั่นแหละลูก บิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างขึ้นไว้ด้วยธาตุออกซิเจนเหลวเข้มข้นและบริสุทธิ์ 100% โดยมีลักษณะทางกายภาพก็คือ มีสีเขียวใสดั่งเนื้อของพระแก้วมรกต เมื่อสะท้อนแสงจะเป็นเงาวาวคล้ายสีของปีกแมลงทับและมีความเหนียวหนืดคล้ายตังเมซึ่งก้อนธาตุออกซิเจนชั้นในสุดนี้ จะเข้มข้นกว่าและรวมตัวกันอยู่อย่างหนืดเหนียวกว่าชั้นของๆไหลที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกในชั้นที่สี่ที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาคุณสมบัติความเป็นก้อนธาตุของแกนโลกเอาไว้ให้คงตัวอยู่ได้ตลอดเวลาและตลอดไปนั่นเอง

ก้อนธาตุออกซิเจนที่มีขนาดใหญ่ภายในแกนของดาวเคราะห์นี่เอง คือกลไกชิ้นสำคัญที่บิดาแห่งเจ้าจะติดตั้งเอาไว้กับดาวดวงใดก็ตามที่มีรูปธรรมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่บนดาวนั้นเสมอ

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย...
โครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์ที่พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามารับผิดชอบดูแล ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นการกำหนดคุณสมบัติอัตลักษณ์ต่างๆไว้ให้สอดคล้องและเกื้อกูลต่อการปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ในบทบาทของ “คน 2 มิติ” โดยเฉพาะ

พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ว่า พระบิดาได้กำหนดติดตั้งกลไกภายในโครงสร้างทางชีววิทยาของเจ้าเอาไว้ให้แล้ว เพื่อให้มันเป็นเครื่องมือที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในสองมิติซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกันอยู่ คือ มิติโลกด้านกายภาพกับมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น กล่าวคือ เมื่อใดก็ตามที่กลไกอวัยวะประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดเข้า ผัสสะที่อยู่ในรูปของคลื่นพลังงานนั้นๆก็จะถูกถ่ายทอดเข้าไปข้างในสู่จิตหยาบ ถ้าจิตหยาบรับรู้ข้อมูลการผัสสะนั้นแล้วมีการรับเอาหรือมีการเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม มันก็จะนำไปสู่การสั่นสะเทือนของจิตกับสมองของพวกเจ้าเมื่อนั้น

สมองเมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยกระบวนการทางจิตเมื่อใด อำนาจที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ พลังแห่งการคิดอันเกิดจากความเฉลียวฉลาดทางปัญญาของเจ้านั่นแหละ และความเฉลียวฉลาดทางปัญญาไม่ว่าจะสูงหรือต่ำของพวกเจ้าก็ขึ้นกับ ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองของเจ้าในขณะนั้นๆเช่นกัน ส่วนจิตของเจ้าเมื่อมันถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหลายเมื่อใด การสั่นสะเทือนของจิตทั้งด้านบวกด้านลบก็จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือนแล้วเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดของจิตเองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ผลบั้นปลายก็คือ กลไกทางกายภาพจำพวกต่อมไร้ท่อซึ่งบิดาแห่งเจ้า ติดตั้งเอาไว้ให้เจ้าได้ใช้เป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเพื่อสานสัมพันธ์กับโลกในมิติทางพลังงานมันก็จะสั่นสะเทือนขึ้นทันที ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเป็นบวกไปตามชนิดของการสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ซึ่งพวกเจ้าจะเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางจิตว่า “พลังจิต” และเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองว่า “พลังปัญญา” หรือ คลื่นการคิดอันเป็นคลื่นผสมระหว่าง คลื่นพลังจิตกับคลื่นปัญญาที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวกเป็นลบกำกับอยู่ด้วย

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
หน้าที่สำคัญของพวกเจ้าในบทบาทของคนสองมิติที่ทุกคนจำเป็นต้องกระทำก็คือ เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเองและเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆซึ่งเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าที่คบหาสมาคมกัน ให้พยายามเข้าถึงการสั่นสะเทือนจิตและปัญญาของสมองทางด้านบวก ที่รวมเรียกว่า “สั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุด” กันให้จงได้ โดยอาศัยบททดสอบจิตสำนึกที่พวกเจ้าเองถือติดตัวกันมาจาก “วิหารสีขาว” มาหยิบยื่นให้แก่กันตามที่ได้วางแผนการณ์กันไว้ ก่อนเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรกนั้นเป็นตัวช่วย หรือเป็นกุศโลบาย หรืออาจเรียกง่ายๆว่าเป็น “บทละคร” ที่จักต้องมาแสดงร่วมกันก็ไม่ผิดนัก

ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้ว่าเมื่อใดขณะใดที่เจ้าสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกหรือจิตปัญญา จนเข้าถึงด้านบวกสูงสุดได้ เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ของเจ้าก็จะทำการผลิตสร้างคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกด้านลบตามที่เคยกล่าวถึงไว้บ้างแล้วออกมาภายนอกเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าทันที เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานกับส่วนที่พี่ๆน้องๆคนอื่นๆเขาขับเคลื่อนออกมาในวินาทีเดียวกันนั้น จนก่อให้เกิดเป็น “พลังงานร่วมทางจิตสำนึกด้านบวก” และจำนวน 1% ของพลังงานร่วมทั้งหมดนั้น จะถูกเหนี่ยวรั้งด้วยอะตอมของธาตุออกซิเจนภายในแกนโลกด้วยอำนาจทางไฟฟ้าด้านลบ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ (Nuclear Fission) จนอะตอมระเบิดแตกตัวออกในแบบปฏิกิริยาลูกโซ๋(Chain Reaction)คือระเบิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่พวกเจ้ารู้สติรู้สำนึกในยามตื่นคือตอนกลางวันนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าดังกล่าวแล้วนั้น มันจะยังผลให้แกนโลกหรือจิตของโลกเกิดการระเบิดนิวเคลียร์แบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนเพราะการระเบิดของแกนโลกอย่างต่อเนื่องนี่เอง จึงเสมือนหนึ่งพวกเจ้าได้เป็นผู้สร้างจิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกให้เกิดขึ้นมาได้ และยังผลให้โลกมีพลังอำนาจขึ้นมาได้คล้ายดั่งมีชีวิต เหมือนเช่นพวกเจ้าซึ่งอยู่ในรูปธรรมมนุษย์ที่มีชีวิตเพราะมีการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ผลลัพธ์แห่งการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลก ซึ่งมีมนุษย์โลกเช่นพวกเจ้าเป็นผู้ร่วมงานหรือเป็นผู้ช่วยเหลือนี้ มี 2 ประการ คือ การช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเอง และการช่วยให้ดาวเคราะห์โลกสมดุลได้อย่างมั่นคง โดยพลังอำนาจของโลกที่ถูกพวกเจ้าช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการที่ว่านี้ ประกอบด้วย
1.ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่จะยกตัวสูงขึ้นในระดับ 6 หมื่นกิโลเมตรจากพื้นโลก
2.ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกในระดับ 14 เกาส์
3.แรงความโน้มถ่วงของโลก หรือแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลก
4.ก๊าซออกซิเจนที่แทรกซึมขึ้นมาจากแกนโลก
5.ความอบอุ่นที่เหมาะกับสัตว์เลือดอุ่นอย่างพวกเจ้า ซึ่งได้จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากน้ำใต้โลกที่ถูกของไหลหรือแม็กม่าที่ร้อนแดงเกินจุดเดือดเผาหรือต้มอยู่ตลอดเวลา

ส่วนความสมดุลของดาวเคราะห์โลกที่เกิดจากความช่วยเหลือของพวกเจ้าก็คือ การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองให้ทุกสิ่งที่เกาะติดอยู่กับโลกหรืออยู่ในระบบโลกไม่หลุดลอยจนกระเด็นออกไปจากระบบโลกนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
ในชั้นนี้พวกเจ้าก็ได้รับรู้กันแล้วว่า พระบิดาอนุญาตให้พวกเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้เข้าถึงบทบาทการเป็นคนสองมิติ ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกร่วมกัน เพื่อนำเอาความรักของพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาจากบ้าน เข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมอบให้กับโลก ได้ใช้เป็นพลังอำนาจในการสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลกให้จงได้ดังกล่าวแล้ว เจ้าจึงสามารถทำความเข้าใจด้วยตนเองได้ว่า การที่พระบิดากำหนดสร้างโลกทางกายภาพเอาไว้ดังกล่าวแล้วนั้น ก็เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกกับตัวเจ้า สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันได้อย่างลงตัวจนอาจกล่าวได้ว่า.....
จิตสำนึกของโลกกับจิตสำนึกของมนุษย์นั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ป.วิสุทธิปัญญา
23-01-2013