03 มีนาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/03/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าคนที่เป็นครูคือผู้ที่เรียนรู้มามากกว่าศิษย์
ถ้าพ่อแม่เป็นครูของบุตรหลานได้
เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน
ถ้าเพื่อนมนุษย์คนใดเป็นที่ปรึกษาของผู้อื่นได้
เพราะมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆมาก่อน
จนแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในต่างเผ่าดาวทั้งหลาย
เขาก้าวหน้าทางด้านเท็คโนโลยีและจิตวิญญาณ
ล้ำหน้าไปไกลกว่ามนุษย์แห่งเผ่าดาวโลกได้
ก็เพราะพวกเขาต้องผ่านการเรียนรู้มาด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะฉลาดและเก่งได้โดยไม่เรียนรู้

นอกจากนั้นใน #การเรียนรู้ ของท่านทั้งหลาย
ที่ตั้งต้นจากการ "ไม่รู้" อะไรในเรื่องนั้นๆมาก่อน
หรือไม่มีครูหรือผู้รู้มากกว่ามาช่วยแนะช่วยสอนให้
ก็จะต้องเลือกเรียนรู้ด้วยตนเองในแบบต่างๆต่อไปนี้

1.เรียนรู้แบบชาวบ้านด้วยการ "เดา"
แล้วก็ "ทดลอง" ทำตามที่ตนคาดเดานั้น
ว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่
ถ้าพบว่าไม่ใช่คือเดาผิดก็เดาใหม่ลองใหม่
เดาไปลองไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบคำตอบ

2.เรียนรู้แบบนักวิทยาศาสตร์
ด้วยวิธีการที่เรียกว่า "ลองผิดลองถูก"
โดยเริ่มต้นจาก #ตั้งสมมติฐาน

การตั้งสมมติฐานจะต่างจากการเดาอยู่
ตรงที่มิได้เป็นการคิดเดาส่งเดชแบบชาวบ้าน
แต่เป็นการคาดเดาอย่างมีหลักการและเหตุผล
โดยจะใช้วิธีพิสูจน์สมมติฐานของตนว่า
เป็นความจริงตามที่ตั้งโจทย์เอาไว้นั้นหรือไม่
ถ้าพิสูจน์แล้วผลปรากฏว่ามิได้เป็นไปตามนั้น
ก็จะตั้งสมมติฐานใหม่พิสูจน์ใหม่ทดลองใหม่
จนกว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง

วิธีการศึกษาเรียนรู้ลักษณะนี้เป็นวิธีการที่
นักวิทยาศาสตร์โลกและนักวิชาการทั้งหลาย
เขาใช้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้ให้ได้รู้
ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีทั้งคิดผิดเดาผิดทำผิด
เนื่องจากพวกเขาไม่มีประสบการณ์มาก่อน
อันหมายถึงต้องเริ่มต้นเรียนรู้จาก "ศูนย์" นั่นเอง

3.วิธีเรียนรู้วิธีสุดท้ายที่เราจะกล่าวไว้ในที่นี้ก็คือ
การเรียนรู้ที่จะคิดจะทำในสิ่งที่เป็นครั้งแรกในชีวิต
ซึ่งเป็นวิธีการขั้นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์
นั่นคือการเรียนรู้ที่จะคิดทำในสิ่งที่ถูกต้องแท้จริง
ด้วยการ "ลอง" คิดทำสิ่งที่ผิดหรือไม่ถูกต้องก่อน

ตัวอย่างที่มีให้เห็นและให้มนุษย์ทุกคนต้องเป็น
เช่นเด็กน้อยทุกคนกว่าจะก้าวเดินได้อย่างชำนาญ
ก็ต้องผ่านประสบการณ์ลุกนั่ง ยืนตั้งไข่ ก้นจ้ำเบ้า
ก่อนที่พวกท่านจะเชี่ยวชาญการเดินการวิ่งทั้งสิ้น

เราขอถามพวกท่านทั้งหลายว่า
ในท่ามกลางวิธีการเรียนรู้ทั้งสามแบบเหล่านี้
ความล้มเหลวหรือความสำเร็จดีๆร้ายๆที่เกิดขึ้นนั้น
บางคนจะโทษว่าเป็นความล้มเหลวของพระเจ้า
ที่ทรงสร้างสิ่งไม่ดีสิ่งที่ชั่วๆขึ้นมาเพื่อท่านได้หรือ
ทั้งๆที่คนทั้งโลกส่วนใหญ่เขารู้ว่าความล้มเหลวนั้น
มันเกิดจากความไม่รู้ ความโง่หรือประมาท
ของปัจเจกบุคคลแต่ละคนเป็นสำคัญกันทั้งนั้น
พระเจ้ามิได้ทรงข้องเกี่ยวไม่ว่าโดยตรงโดยอ้อม
กับความสำเร็จหรือล้มเหลวของใครในโลกนี้

ไม่รู้พระองค์จะทรงแทรกแซงพวกท่านทำไม
เมื่อพระองค์ทรงประทานพลังอำนาจทางจิตปัญญา
กับพลังอำนาจทางกายสังขารให้พวกท่านไว้แล้ว
มันอยู่ที่พวกท่านจะโง่ง่ายและงมงายไม่ใช้มันเอง

นอกจากนั้น
เมื่อพวกท่านต้องเผชิญกับความเลวร้ายเหลวไหล
ในการใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์คนอื่นหรือต่างเผ่าดาว
จะติโทษพระเจ้าว่าสร้างชั่วแล้วใยควบคุมฝ่ายชั่วไม่ได้
จึงโทษว่าพระเจ้าไม่รู้จะสร้างพวกชั่วขึ้นมาทำไม
โดยที่ไม่เคยก้มลงมามองตนเองบ้างเลยว่า
นั่นเป็นเพราะความอับเฉาเบาปัญญาของตนต่างหาก

เราขอถามคนจำพวกนี้ว่า
สันดานชอบติโทษคนอื่นซึ่งประพฤติกันอยู่นั้น
ตัวท่านเองคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ชั่วหรือไม่ล่ะท่าน
แล้วที่ท่านชั่วเพราะพระเจ้าทรงชั่วหรือท่านชั่วเอง
มันก็ไม่ต่างจากพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนพาลเกเร
จะโทษว่าพ่อแม่ชั่วเพราะให้กำเนิดบุตรชั่วได้หรือ

พระบิดาทรงออกแบบให้มนุษย์มีทางเลือกเสรี
จะเลือกดีหรือชั่วก็ได้แต่ต้องยอมรับผลกรรมนั้น
มืดกับสว่าง ดีกับชั่ว โง่กับฉลาด
รวมทั้งความแตกต่างหลากหลายที่ทรงสร้างไว้
ล้วนเป็นมายาที่ทรงออกแบบไว้ให้มนุษย์เรียนรู้
เพื่อยกระดับความฉลาดทางจิตปัญญาให้สูงขึ้น
ให้รู้ว่าบาปบุญคุณโทษผิดถูกชั่วดีเป็นอย่างไร

ถ้ากำหนดให้จักรวาลนี้มีแต่สิ่งดีอย่างเดียว
แล้วพวกท่านจะรู้ว่าดีจริงได้อย่างไร
ถ้าพระองค์ไม่ยอมให้มีชั่วไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ

ไม่ต่างจากพวกท่านต้องสัมผัสกับความมืด
เพื่อที่จะเรียนรู้ได้ว่าความสว่างนั้นเป็นอย่างไร
หรือทรงกำหนดให้สรรพสิ่งมีสีสันหลากหลาย
เพื่อให้พวกท่านฉลาดที่จะจับคู่สีให้ถูกต้อง
เพื่อเรียนรู้ที่จะสร้างสรรสีใหม่ๆให้เกิดขึ้นมาได้
การที่ทรงออกแบบไว้ให้พวกท่านมีเสรีเช่นนี้
เป็นความไร้สาระอันน่าตำหนิพระเจ้าว่า
ทรงสร้างความชั่วขึ้นมาแล้วควบคุมไม่ได้ล่ะหรือ

คนที่เข้ามาตำหนิโทษพระบิดามาก้าวล่วงพระเจ้า
ถึงในห้องเรียนของพวกท่านเมื่อวานนี้นั้น
แม้จะดูเหมือนคนรู้มากแล้วร้อนวิชา
แต่น่าเสียดายที่คนๆนี้ไม่รู้ว่าในชั่วมีดีในดีมีชั่ว
จึงทำตัวโง่กว่าผู้ที่มีอาชีพขายขยะเสียอีก
เพราะคนขายขยะสามารถเปลี่ยนขยะเป็นเงินได้
เพียงแค่ฉลาดที่จะมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ไร้ค่า

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พ่อแม่ที่รักลูกต้องสอนลูกให้เป็นคนดีแน่นอน
แต่ลูกจะฉลาดและเอาตัวรอดได้จริงหรือ
ถ้าสอนลูกให้ฉลาดแต่เรื่องดีๆอยู่ด้านเดียว
แต่กลับปล่อยให้ลูกโง่ในด้านชั่วๆ
ซึ่งการฉลาดในด้านชั่วๆก็มิได้หมายความว่า
ลูกของตนจะต้องเป็นคนชั่วไปกับเขาด้วย

ถ้าลูกคนนั้นฉลาดพอที่จะรู้ว่า
ความชั่วทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี
เขาก็สามารถปฏิเสธที่จะปฏิบัติสิ่งชั่วๆนั้นได้
โดยไม่ต้องเรียนรู้ด้วยการทำชั่วมันเสียเอง

จงอย่ามัวแต่ติโทษพระเจ้าอยู่เลย
องค์สัพพัญญูซึ่งทรงเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่ง
ก็ยังทรงค้นพบสัจธรรมได้จากพงป่า
สัจธรรมก็ล้วนได้มาจากธรรมชาติ
ที่พระบิดาทรงสร้างไว้ให้ลูกๆเรียนรู้กันทั้งสิ้น
เพราะพระศาสดาไม่เคยปฏิเสธ
ความจริงในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง
พระศาสดาจึงไม่เคยปฏิเสธพระผู้สร้าง

การทำตนเป็นคนไม่โง่ง่ายนั้นดีแล้ว
แต่การยึดติดความเชื่อของตน
ยึดติดความรู้ผิดๆถูกๆที่ตนมีอยู่
โดยไม่ยอมเปิดจิตปัญญาให้กว้างขึ้น
เพื่อเรียนรู้สิ่งอื่นจากคนอื่นบ้างว่า
พวกเขาในห้องเรียนนี้รู้อะไรที่ตนไม่รู้บ้าง
พวกเขาในห้องเรียนนี้เชื่อในพระบิดา
โดยไม่มีใครก้าวล่วงพระองค์เหมือนที่ตัวเองเป็น
พี่ๆน้องๆในห้องเรียนนี้เขามีมุมมองกันอย่างไร

มันน่าจะเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ฉลาดกว่าเหมาะกว่า
เที่ยวใช้ปัญญาอวดความรู้ความเชื่อของตน
ในลักษณะของการคัดแย้งผู้อื่นที่ตนเห็นต่าง
ถ้าจะใช้วิธีนำเอาข้อสับสนสงสัยนั้นถามตนเอง
แล้วไม่เกียจคร้านที่จะค้นหาคำตอบที่ต้องการ
ด้วยการเรียนรู้จากห้องเรียนนี้หรือจากยูทูป
ที่พระบิดาทรงประทานโอวาทมา 30 กว่าปีแล้ว
ให้มันสมกับที่ตนอยากรู้ว่าอะไร ทำไม เป็นต้น

การเพียรถามคนอื่นในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
ด้วยการยึดติดในสิ่งที่ตนเชื่ออยู่รู้อยู่
ด้วยการถามไปเถียงไปแทนที่จะคิดตามเขานั้น
มันมิใช่การเรียนรู้ของนักปราชญ์เมธีทั้งจักรวาล
แม้แต่มอดมารเองพวกเขาก็ยังไม่ทำกัน
พูดสั้นๆว่าพวกเขาจะไม่ "อวดโง่" เข้าใจนะ!

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3/03/2022