30 มีนาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 30/03/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่พวกท่านอ้างถ้อยความในพระคัมภีร์
 มธ10:37-39 -ที่ว่า...

"ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา
ก็ไม่มีค่าควรกับเรา
และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา
คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา

38และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป
คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา
39ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต
แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา
ก็จะได้ชีวิตรอด"


พระคำทั้งหมดที่พวกท่านอัญเชิญมาข้างต้นนี้
ถ้าท่านทั้งหลายยังคิดด้วยจิตมนุษย์กันอยู่
ยังนึกคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายกันอยู่
พวกท่านจะเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์ทันที
เพราะการคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายนั้น
จะยึดเอาแต่ตนเองและกรอบของโลกเป็นสำคัญ

ขณะที่พระองค์ผู้ทรงตรัสเอาไว้ดีแล้วนั้น
ทรงตรัสด้วยปัญญาญาณของสมองซีกขวา
อันเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นสมองคนละซีกกันกับที่พวกท่านคิด
จึงไม่ต่างจากการที่มีผู้กล่าวไว้เป็นภาษาหนึ่ง
แต่ผู้อ่านก็พยายามจะอ่านเป็นอีกภาษาหนึ่ง
ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจตรงกันได้เลยนั่นเอง

นอกจากนั้นข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์
ได้ผ่านการแปลความมาแล้วหลายภาษา
ผ่านการคิดแบบจิตมนุษย์มาแล้วก็หลายหน
จนกว่าจะได้ข้อความมาเป็นภาษาไทยดังกล่าว
ทำให้มีการตัดเติมเสริมต่อข้อความเดิมไปมาก
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อ่านแล้วเข้าใจยาก
หรือเข้าใจผิดเพราะความจริงถูกบิดเบือนไปก็มี
ไม่ต่างจากพระคำตามพระคัมภีร์ในบทที่ว่านี้

#ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา
#ก็ไม่มีค่าควรกับเรา
#และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา
#คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา


พระองค์ทรงหมายความว่า
พระองค์เสด็จมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
เพื่อมากล่าวพระโอวาทต่อบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
ในพระนามของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวในยุคนั้น
พระองค์จึงทรงเป็น "พระบุตรเอก" หรือบุตรโทน
ซึ่งเป็นตัวแทนของ "พระบิดา" หรือพระเจ้า


ดังนั้น
เมื่อพระองค์เสด็จมาจากพระเจ้า
เสด็จมาตามพระบัญชาของพระเจ้า
มาช่วยเหลือท่านทั้งหลายในพระนามแห่งพระเจ้า
พระบุตรเอกจึงเป็นพยานที่ชอบธรรมของพระเจ้า

มนุษย์ทุกคนที่รักบิดามารดาของตน
รักบุตรหลานญาติพี่น้องของตนในมิติโลก
ด้วยความมีกตัญญูกตเวทิตาคุณกันมากเท่าใด
จักต้องสำนึกในพระคุณพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ให้มากกว่ายิ่งไปกว่านั้นอีกด้วย

เพราะเหตุผลที่ว่า
ถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณพวกท่าน
ถ้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้พวกท่านมาเกิด
ถ้าไม่ทรงประทานอาหารและน้ำยังชีวิตให้แก่ท่าน
ถ้าไม่ทรงประทานกายสังขารที่แยบยลกว่าใคร
ถ้าไม่ทรงประทานชีวิตเสรีบนดาวโลกนี้แก่ท่าน
ถ้าไม่ทรงประทานชีวิตที่เป็นอมตะไม่มีวันตายให้
ถ้าไม่ทรงยอมให้ตายแล้วเกิดใหม่เพื่อแก้ไขตนเอง
ถ้าไม่ทรงอนุญาตให้พวกท่านมาแล้วกลับบ้านได้
ฯลฯ

ถ้าท่านคิดพิจารณาด้วยเหตุและผลแล้ว
มันจะมากเกินไปกว่าความเป็นจริงเชียวหรือ
ถ้าจะทรงตรัสให้สติทางวิญญาณแก่พวกท่านว่า
เมื่อท่านแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา
ผู้ให้กำเนิดกายสังขารของพวกท่านมากเพียงใด
ท่านทั้งหลายควรต้องรักพระบิดาไม่น้อยกว่านั้น

เมื่อพวกท่านรักลูกหลานของท่านมากมาย
ท่านก็ต้องรู้ความจริงเอาไว้ด้วยเช่นกันว่า
พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ก็ทรงรักบุตรมนุษย์ทั้งหลายมิได้น้อยไปกว่ากันเลย

ด้วยเหตุนี้เอง
พระศาสดาซึ่งเป็นตัวแทนของพระบิดา
จึงทรงตรัสเปรียบเปรยต่อท่านทั้งหลายไว้ว่า
ใครที่รักพ่อแม่ลูกหลานของตน
มากกว่ารักพระบิดาและรักมากกว่าพระองค์
มนุษย์นั้นจึงไม่มีค่าควรกับพระองค์
ผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้าได้เลย
เพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณที่มาจากพระเจ้า
มนุษย์จึงรักกันจำเพาะในมิติของกายหยาบมิได้

นอกจากนั้น
ความในพระคัมภีร์บรรทัดต่อมาที่ว่า...

#38และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป
#คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา
#39ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต
#แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา
#ก็จะได้ชีวิตรอด


พระบุตรเอกทรงหมายความว่า

จากการที่พระองค์ทรงสละพระชนมชีพ
โดยทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขน
เพราะถูกผู้ก่อการชั่วร้ายกระทำต่อพระองค์
เพื่อจะทรงสร้างสติทางวิญญาณ
ไว้เป็นแบบอย่างแก่มวลมนุษย์โลกทุกคนว่า
มนุษย์จักต้อง #รักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต

สัจจะที่พระเยซูทรงรักษายิ่งกว่าพระชนม์ชีพ
ซึ่งทรงต้องการ "ให้สติ" แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย
โดยทรงปฏิบัติตนให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างนี้ก็คือ

มนุษย์จักต้องปฏิบัติตาม #พันธะสัญญา_6
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านได้ให้สัจจะ
ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือ "พระเจ้า" ไว้
ก่อนจะเดินทางมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรกว่า

1.จะมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
ด้วยการใช้ความรักค้ำจุนโลกให้สมดุล

2.จะไม่เบียดเบียนกันเข่นฆ่ากัน
จะไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกันและไม่ทำร้ายกันเอง

3.จะยกระดับกายจิตและจิตวิญญาณ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อการเป็นมนุษย์ให้ได้

4.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้แก่กันและกัน
เพื่อ "หมุนธรรมจักร" ร่วมกันให้จงได้

5.จะสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์บุตรของพระเจ้าไว้
โดยไม่เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของพระเจ้าเสื่อม
ไม่ยอมให้ดีเอ็นเอของพระเจ้าเป็นทาสสัตว์ร้าย

6.จะคืนกลับบ้านแดนสุญตาที่ท่านจากมา
ถ้าโลกสิ้นยุคพลังงานเก่า คือ ครบหกหมื่นปีแล้ว
โดยต้องพร้อมจะคืนกลับคือ "หลุดพ้น" ออกไป
เมื่อพระบิดาทรงพิพากษาโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ให้ทันก่อนวันเวลาที่ 11 ช่วง 56 วัน 8 ราตรี

ดังนั้น
ถ้าใครไม่เข้าใจและไม่รู้รหัสนัยความจริงว่า
การยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขนของพระองค์
ก็เพื่อ "ไถ่บาป" ที่พวกท่านกระทำผิดสัจจะ
ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้เป็นเจ้า
เพราะการหลงลืมและละเลยไม่กระทำตาม
ซึ่งเป็นความผิดบาปที่จะทรงอภัยให้ไม่ได้เลย
ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำตามพันธะสัญญา 6 เท่านั้น
เมื่อตายไปจึงจะกลับไปกราบพระบิดาได้
การไถ่บาปจึงหมายถึงมาบอกความจริงให้รู้
มิได้ทรงมาเกิดเพื่อรับบาปรับกรรมแทนใคร

พระบุตรเอกทรงตัดสินพระทัยสละพระชนมชีพ
เพื่อต้องการเน้นให้มนุษย์เชื่อว่าทรงกล่าวความจริง
ถ้าไม่จริงจะทรงยอมสละชีพที่ใครก็รักไปทำไม

นอกจากนั้น
เมื่อสิ้นยุคจิตวิญญาณมนุษย์ก็จะหลุดพ้นไม่ได้
จักเป็นขยะที่จะถูกชำระทิ้งออกไปจากระบบโลก
ซึ่งเป็นความสูญเสียของจักรวาลอันใหญ่หลวงด้วย

นี่คือที่มาของพระคำที่ตรัสว่า
ใครที่ไม่รับกางเขนของพระองค์และตามพระองค์ไป
คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับพระองค์

อันหมายความว่า
ผู้ใดไม่เห็นคุณค่าของพระองค์ (ไม่รับไม้กางแขน)
และไม่ปฏิบัติตามนัยที่ทรงสำแดงไว้ให้
คือเมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตวิญญาณพวกท่านต้องหลุดพ้นกลับบ้าน
ซึ่งพระบิดาหรือพระเจ้าทรงรอคอยอยู่นานแล้ว
ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องนำพาตนเองคืนสู่สวรรค์
ตามพระองค์ไปเมื่อทรงสิ้นพระชนม์ให้เห็นนั่น

หากใครไม่เข้าใจและไม่ก้าวตามพระองค์
แสดงว่าคนผู้นั้นไม่รู้คุณค่าแห่งการเสียสละ
ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อมนุษย์ผู้นั้นเลย
เขาคนนั้นจึงมิได้มีค่าควรกับพระองค์แต่อย่างใด

ส่วนคำกล่าวที่ว่า...
#39ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต
#แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา
#ก็จะได้ชีวิตรอด

ทรงหมายถึง

ผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นคนมิติเดียว
คือมองตนเองในมิติโลกทางกายภาพ
ด้วยสัญชาตญาณของการรักตัวกลัวตาย
อยากให้ตนเองมีอายุขัยยืนยาว
แต่ไม่ใส่ใจมิติของจิตวิญญาณด้านแก่นแท้นั้น
บุคคลประเภทนี้จะทำให้จิตวิญญาณต้องตาย
จะต้องเวียนว่ายตายเกิดจะต้องมีสังสารวัฏ
ทั้งๆที่จิตวิญญาณมาเกิดไม่มีหน้าที่ต้องตาย
จะมีอายุยืนยาวได้นับร้อยพันหมื่นปีจนสิ้นยุค

แต่ถ้าใครปฏิบัติตามพระองค์
โดยมีจิตสำนึกที่จะทำเพื่อจิตวิญญาณของตน
ด้วยการรักษาสัจจะที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดา
แม้ว่าผู้นั้นยังจะมีการตายเพื่อมีภพชาติใหม่อยู่
เพื่อจะได้รับโอกาสในการแก้ไขและเรียนรู้
เพื่อมีเวลาชำระจิตวิญญาณของตนให้บริสุทธิ์
เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะหลุดพ้นกลับบ้าน
โดยไม่ต้องย้อนมาเวียนว่ายตายเกิดอีกตลอดไป
แปลความว่าจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องตายอีกแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/03/2022