29 มีนาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/03/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ก่อนที่พระบิดาหรือพระผู้สร้างหรือพระเจ้า
จะประสบความสำเร็จในการสร้างมนุษย์โลก
ให้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่เป็นสิ่งมีชีวิตในแบบของ "คนสองมิติ" นี้
พระองค์ได้ทรงทดลองสร้างแล้วสร้างอีก
เพื่อปรับปรุงแก้ไขจนได้รูปแบบที่เหมาะสม
ซึ่งพวกท่านได้มีได้ใช้กันอยู่จนทุกวันนี้นั้น
พระองค์ทรงใช้ดาวต่างๆในหลายกาแล็กซี่
เป็นห้องทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นไว้มากมาย

เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างสิ่งใดขึ้นมา
แม้ว่าสิ่งนั้นจะใช้การได้หรือไม่ได้ก็ตาม
พระองค์จะมิทรง "ทำลาย" สิ่งนั้นทิ้งไป
แต่จะทรงเก็บรักษาสิ่งนั้นไว้เป็นอนุสรณ์
ด้วยความรักในคุณค่าของสิ่งที่ทรงสร้างเสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง
พวกท่านจึงต้องรู้ไว้ด้วยว่าในห้องทดลองใหญ่
คือ "เอกภพ" หรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
มิได้มีสิ่งมีชีวิตเพียงแค่บนดาวโลกดวงนี้เท่านั้น
บนดาวดวงอื่นและกาแล็กซี่อื่นๆก็มีอยู่เช่นกัน

โดยมีทั้งสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายมนุษย์
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเดียวกันกับมนุษย์
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะไม่เหมือนมนุษย์
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ประหลาด

ถ้าเป็นรุ่นแรกๆที่ทรงออกแบบทดลองสร้าง
ก็จะมีตัวตนรูปลักษณ์ไม่งามและไม่สมบูรณ์
เช่น พวกเผ่าที่มีตัวตนรูปลักษณ์คล้ายสัตว์
มีร่างใหญ่มีเกล็ดมีเขี้ยวเล็บมีความน่ากลัว
บางเผ่าก็จะมีเขามีนอและมีหางยาวๆ
ลักษณะพิเศษก็คือจะมีสมองก้อนเดียว
โดยพวกเผ่านี้จะไม่มีจิตหยาบเหมือนมนุษย์
แต่จะใช้จิตวิญญาณเป็นผู้ขับเคลื่อนพลังชีวิต
ซึ่งมีสัญชาติญาณเป็นผู้ขับเคลื่อนกายหยาบ

จนกระทั่งทรงสร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
ซึ่งเป็น "คนสองมิติ" เป็นผลสำเร็จแล้วเท่านั้น
ตัวตนรูปลักษณ์หน้าตาจึงสง่างามและสมดุล
ยิ่งกว่ารูปธรรมมีชีวิตอื่นใดที่ทรงสร้างมาก่อน

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกท่าน
จึงต่างจากสิ่งมีชีวิตในเผ่าดาวอื่นๆอย่างชัดเจน
ตัวอย่างที่พอจะระบุได้มีดังนี้

1.มนุษย์มีจิตหยาบเป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมให้
ขณะที่สิ่งมีชีวิตในเผ่าดาวอื่นกาแล็กซี่อื่น
ยกเว้นเผ่าพลียะเดี้ยนส์ในกลุ่มดาวพลียะดิส
พระองค์ทรงติดตั้งจิตวิญญาณให้ขับเคลื่อนเอง

เหตุผลเพราะว่า
พี่ๆต้นแบบของมนุษย์รุ่นแรกๆเหล่านั้น
จิตวิญญาณยังไม่มีหน้าที่ต้องหลุดพ้นกลับบ้าน
พวกเขามีหน้าที่เป็นเหมือนสัตว์ประจำโลกคือ
จะเกิดตายสักกี่ครั้งก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ดังเดิม
พระบิดาจึงมิทรงสร้างให้พวกเขามี "จิตหยาบ"
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณนั่นเอง

2.พระบิดาทรงกำหนดให้พวกเขา
ใช้สัญชาตญาณของจิตวิญญาณ
สั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" ตามแบบที่สัตว์โลกใช้
เพื่อจะทรงเรียนรู้ว่าจะได้ผลแค่ไหนอย่างไร
ในอันที่จะผลิตพลังงานความรักออกมาให้ได้
ด้วยกระบวนการ 2 มิติ คือ "หมุนธรรมจักร"
ซึ่งต้องเป็นอัตโนมัติปฏิบัติง่ายไม่ซับซ้อน

3.มนุษย์มีสมองสองซีกซ้ายขวา
ที่สามารถใช้ความฉลาดทางปัญญาได้ 4 ระดับ
โดยก้านสมองเป็นจิตปัญญาระดับสัญชาตญาณ
ซึ่งทำงานได้โดยจิตวิญญาณเป็นผู้ควบคุม

สมองซีกซ้ายจิตหยาบสามารถใช้ได้ฟรี
เพื่อการคิดรู้เรียนรู้และรับรู้ร่วมกับอายตนะ
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าไปตามอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ที่เป็นกระบวนการในระบบอัตโนมัติได้เลย

นอกจากนั้น
มนุษย์ยังสามารถใช้สมองซีกซ้ายคิดวิเคราะห์
ด้วยการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นกระบวนการ
แทนที่จะนึกคิดไปตามอารมณ์ก็ได้
แปลว่าถ้าจะคิดด้วยวิธีนี้ได้มนุษย์ต้องมีสติ
ความฉลาดของสมองซีกนี้จึงเรียกว่า #สติปัญญา

ส่วนความฉลาดทางปัญญาในระดับสาม
คือ ความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกขวา
ที่เรียกว่า #ปัญญาญาณ นั่นเอง
เหตุที่เรียกว่าปัญญาญาณก็เป็นเพราะว่า
เป็นสติปัญญาที่ทรงกำหนดให้จิตวิญญาณใช้
โดยมนุษย์ต้องยกระดับจิตหยาบให้สั่นแรงขึ้น
จนเสมอกันกับแรงสั่นของจิตวิญญาณให้ได้
แล้วยังต้อง "กดปุ่ม" เพื่อคิดด้วยจิตวิญญาณ
แทนที่จะคิดแบบจิตหยาบให้ได้ด้วย

สำหรับความฉลาดทางปัญญาระดับสี่
ทรงเรียกว่า "อนุตรธรรมาญาณ"
ในมนุษย์โลกทั่วไปมิได้ทรงติดตั้งไว้ให้ใช้
เพราะทรงเกรงว่าบุตรมนุษย์จะยุ่งยากในการใช้
ซึ่งต้องใช้พลังงานจิตในระดับสุญตาเท่านั้น
จึงทรงออกแบบเอาไว้ให้ใช้เฉพาะพระบุตรเอก
ที่มาจุติเป็นมนุษย์ให้ถือติดมาเพื่อสื่อกับพระองค์
เพื่อกล่าวพระโอวาทในพระนามของพระเจ้าได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

รูปธรรมที่มีสมองก้อนเดียว
ที่ไม่มีจิตหยาบมีแต่จิตวิญญาณขับเคลื่อน
พระบิดามิได้ทรงออกแบบติดตั้งกลไกสมอง
อย่างสลับซ้อนและแยบยลเหมือนมนุษย์
เพราะ "จิตตปัญญา" ของมนุษย์โลก
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญของพวกท่าน
ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
เพื่อใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกให้สมดุล
ซึ่งจะมีผลให้ห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์
คือเอกภพทั้งระบบเกิดความสมดุลยั่งยืนด้วย

นอกจากที่เรากล่าวมาข้างต้นแล้ว
เพราะมนุษย์โลกมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม
เพราะมนุษย์โลกมีเสรีที่จะทำอะไรก็ได้
โดยไม่ต้องมีผู้มีอำนาจเหนือคอยควบคุม
โดยไม่ต้องมีการถูกลงโทษที่รุนแรง
ถึงขั้นเนรเทศให้ออกไปจากเผ่าดาว
หรือถูกกักกันคุมขังจนไร้อิสระอย่างไม่มีกำหนด

ทั้งหมดนี่แหละเป็นเหตุแห่งความริษยา
ทั้งหมดนี่แหละเป็นที่มาของการโกรธพระเจ้า
ที่ยังผลให้พวกเขามีความไม่พอใจพระเจ้า
โดยกล่าวหาว่า "ทรงลำเอียง" ไม่เป็นธรรม
ทั้งๆที่พวกเขายังไม่รู้จักพระเจ้าด้วยซ้ำ

รู้แต่เพียงแค่ว่า "จิตวิญญาณ" ของมนุษย์
รวมทั้งทุกสิ่งในระบบโลกเกิดจาก #ความมืด
เพราะพวกเขามิอาจรู้เห็นเบื้องหลังอะไรได้
เนื่องจากพระบิดาทรงกำหนดออกแบบไว้
ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ทรงกำหนดเอาไว้แล้ว
โดยมิต้องให้ใครควบคุมนอกจากกฎโลกเอง
พวกเขาจึงเข้าถึงพระผู้สร้างหรือพระเจ้าไม่ได้

ด้วยความที่เกิดมาก่อนมนุษย์นับหมื่นๆปี
แค่ความฉลาดของสมองเพียงก้อนเดียว
ก็สามารถช่วยให้เขาก้าวหน้าทางปัญญา
คิดสร้างวัตถุเท็คโนโลยีล้ำหน้าโลกได้สบายๆ
ค้นพบศาสตร์ด้านการผ่าตัดระบบนาโน
เช่น ผ่าตัดดีเอ็นเอ ซ่อม-เปลี่ยนอวัยวะ เป็นต้น

บางเผ่าก็ก้าวหน้าทางวิญญาณได้เหนือมนุษย์
จนสามารถใช้พลังทางจิตวิญญาณได้ฟุ่มเฟือย
จึงเชี่ยวชาญด้านพลังมืด ด้านไสยเวทย์มนตร์ดำ
การสะกดจิต การจูงจิต การจูนจิต ดูดพลังจิต
การเล่นแร่แปรธาตุที่ต้องใช้พลังงานจิตขั้นสูง
ด้านการแสดงอภิญญฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือมนุษย์
เพราะพวกนี้ไม่มีจิตหยาบเป็นอุปสรรค
จึงเข้าถึงพลังอำนาจของจิตวิญญาณได้ไม่ยาก

สิ่งมีชีวิตจากต่างเผ่าที่เป็นอริกับพระเจ้า
เข้ามาแทรกแซงสำแดงความอิจฉาอาฆาต
ต้องการจะเอาชนะพระเจ้าด้วยการทำร้ายมนุษย์
เช่น ทำให้พวกท่านหมุนธรรมจักรไม่ได้
หลอกให้ "ดับขันธ์ 5" จนค้ำจุนโลกกันไม่ได้
หลอกให้มนุษย์ทำสงครามศาสนาพาให้เสื่อม
ยุแยงให้พวกท่านทำสงครามฆ่ากันตายเอง

ชักนำให้พวกท่าน "หลงทางนิพพาน"
ลวงให้มนุษย์กินสารเคมีที่เป็นพิษต่อดีเอ็นเอ
หลอกให้กินเลือดเนื้อของสัตว์จนอายุสั้น
ไม่สามารถมีอายุขัยยืนยาวหรือเป็นอมตะได้

ลวงให้มนุุษย์ก้าวตามตนเอง
โดยอ้างว่าเป็นพระบิดาของพระเจ้าของมนุษย์
เพื่อชักนำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้การควบคุม
คนที่จิตอ่อน โง่ง่าย และกิเลสหนาคือเป้าหมาย

คนที่โลกสวยจงรับรู้ไว้เถิดว่าใกล้ยกสุดท้ายแล้ว
แผนการหลอกลวงซ้อนหลอกลวงให้หลงเชื่อ
กำลังถูกนำออกมาใช้ควบคู่กับการแอนตี้พระบิดา
เราจึงกล่าวเตือนพวกท่านว่าให้ฉลาดคบเพื่อน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/03/2022