20 กรกฎาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/07/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

20/07/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การมาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั้น
ขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
มิได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ในการแสดงความเป็นรูปธรรมที่มีชีวิตหรอก

พระผู้สร้างคือองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์และสัตว์
ได้ทรงออกแบบให้จิตวิญญาณของพวกท่าน
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่ม
พระองค์ทรงให้เรียกว่า จิตหยาบ หรือจิตมนุษย์
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมทั้งระบบ
ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิกับกายหยาบในครรภ์มารดา

พระองค์ทรงออกแบบไว้เช่นนี้
เพื่อให้ "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทนทั้งสองมิติ
คือสั่นสะเทือนในมิติทางกายภาพหรือกายหยาบ
กับสั่นสะเทือนในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้

โดยการสั่นสะเทือนในมิติของกายหยาบ
หมายถึงการควบคุมดูแลกระบวนการทำงาน
ของกลไกอวัยวะร่างกายที่ลึกลงไปถึงระดับเซล
เพื่อการเจริญเติบโต เพื่อการซ่อมสร้าง
เพื่อการทำหน้าที่หลักของกลไกอวัยวะนั้นๆ
เพื่อควบคุมสั่งการให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ
ในการทำงานร่วมกันระหว่างจิตกับสมอง เป็นต้น

ส่วนการสั่นสะเทือนในมิติของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้นั้น
จิตหยาบจะสั่งการให้เกิดพฤติกรรมทางจิต
โดยใช้กลไกต่อมไร้ท่อ ระบบประสาทและสมอง
เป็นเครื่องมือของจิตหยาบสร้างกระบวนการ
ซึ่งเมื่อเกิดพฤติกรรมทางจิตแล้วก็จะเกิดผลกรรม
ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณทันที

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

กระบวนการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ที่เกิดขึ้นทั้งสองมิติดังกล่าวนี้
มันจะเกิดขึ้นคู่ขนานกันเสมอ
ซึ่งมนุษย์เรียกว่า กระบวนการของขันธ์ห้า

แปลได้ว่าจิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็น 5 ขั้นตอน
ในทุกครั้งที่จิตหยาบสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็ตาม
ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสและที่จิตนึกมโนเอง
ไม่ว่าสิ่งที่จิตหยาบรับรู้นั้นเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
กระบวนการของขันธ์ 5 มันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ใน รูปขันธ์ ที่เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการ
จิตท่านจะทำงานเชื่อมโยงกับ สัญญาขันธ์
เพื่อเรียนรู้เบื้องต้นว่า "รูปนาม" ดังกล่าวที่รับมานั้น
มีข้อมูลบันทึกไว้ในอดีตบ้างหรือไม่
ถ้าตั้งแต่เด็กเคยเรียนรู้มาแล้วว่ามันคืออะไร
จิตก็จะรับรู้สิ่งนั้นทันทีโดยไม่ต้องพิจารณาอะไร

แต่ถ้าจิตหยาบรับรู้รูปนามนั้นแล้ว
ปรากฏว่าใน "สัญญาขันธ์" ว่างเปล่าไร้ข้อมูล
จิตหยาบก็จะไม่รู้ว่าที่ตนรับรู้อยู่นั้นมันคืออะไร
จิตหยาบก็จะพิจารณาสิ่งนั้นเพื่อเรียนรู้ทันที
ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ถามผู้รู้ พ่อแม่ครูอาจารย์
หรือใครก็ได้ที่เป็นคนรอบข้างใกล้ตัวนั่นเอง
เมื่อได้รู้แล้วว่ามันคืออะไรจิตก็จะบันทึกข้อมูลนั้น
เก็บไว้ใน "สัญญาขันธ์" เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต

เมื่อจิตสั่นสะเทือนกระบวนการของขันธ์ 5
ในขั้นตอน การรับรู้สรรพสิ่ง ว่าอะไรเป็นอะไร
ซึ่ง "รูปขันธ์" กับ "เวทนาขันธ์" ทำงานร่วมกันแล้ว
จิตหยาบกลุ่ม เวทนาขันธ์ จะสั่นสะเทือนต่อทันที
โดยนำเอารูปนามที่จิตหยาบรับรู้นั้นมา ปรุงแต่ง
ผลลัพธ์ของการปรุงแต่งที่เกิดนี้เรียกว่า ความรู้สึก
ซึ่ง "ความรู้สึก" จะมีทั้งที่เร่าร้อนหรือเศร้าหมอง
ขึ้นกับว่าจิต "ปรุงแต่ง" รูปนามที่รับรู้ว่าเป็นแบบไหน
"ความรู้สึก" ต่างๆที่เกิดขึ้นนี้มันคือ กิเลส นั่นเอง

เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนต่อเนื่อง
จากรูปขันธ์ สัญญาขันธ์ จนถึงเวทนาขันธ์แล้ว
กระบวนการของขันธ์ 5 ในขั้นตอนที่สี่
ซึ่งจิตหยาบจะยังทำหน้าที่สั่นสะเทือนต่อไปคือ
จิตจะนำเอาสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้สึก" ที่เกิดขึ้นนั้น
ไปสู่ขั้นตอนทำงานของจิตในกลุ่ม "สังขารขันธ์"
โดยมันจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วมาก

ขั้นตอนนี้จิตจะนำเอาความรู้สึก
ที่มีต่อสิ่งเร้าที่ตนรับรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วรับเอานั้น
มาปรุงแต่งด้วยกระบวนการที่สลับซับซ้อนขึ้น
เพื่อทำให้สิ่งที่ตนรับรู้แล้วรับเอามีอัตตาตัวตน
จนจิตหยาบสามารถที่จะยึดติดอัตตานั้นได้
ด้วยพลังอำนาจของสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั่นแหละ

เมื่อจิตสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกหรือเกิดกิเลส
ในขั้นตอนของกระบวนการสังขารขันธ์ที่ว่านี้แล้ว
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องโดยปิดกั้นไม่ได้
ซึ่งผลลัพธ์ของการสั่นสะเทือนกิเลสก็คือ "ตัณหา"
เพราะจิตหยาบหลงยึดติดในอัตตาของสิ่งนั้นแล้ว
โดยตัณหาที่ว่านี้ก็คือ ความอยาก ไม่อยาก นั่นเอง

เมื่อจิตหยาบเกิดความอยากหรือไม่อยากขึ้น
ในขั้นตอนการสั่นสะเทือนของ "สังขารขันธ์" นี้แล้ว
สิ่งที่จิตหยาบจะสั่นสะเทือนต่อไปอีกก็คือ
การเกิดอารมณ์หยาบๆรายวันเป็นการนึกและการคิด
ที่จิตหยาบจะใช้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่างๆ
เพื่อตอบสนองรูปนามที่เป็น "สิ่งเร้า" นั้นต่อไป

โดยมนุษย์จะใช้ความอยากไม่อยากของจิต
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นหรือในเวลานั้น
เป็นตัวกำหนด การนึกของจิต เป็นสำคัญ
ซึ่งเป็นไปได้ทั้งการนึกลบและการนึกบวก
ถ้าจิตนึกลบจิตก็จะสั่งให้สมองของตนคิดลบ
ถ้าจิตนึกบวกจิตก็จะสั่งให้สมองของตนคิดบวก
เมื่อสมองคิดลบหรือคิดบวกตามคำสั่งของจิตแล้ว
จิตหยาบก็จะกระทำตอบสนองสิ่งเร้าไปตามที่คิด

ยกเว้นในกรณีที่มนุษย์คนนั้น
ไม่อาจทำตามความอยากไม่อยากของตนได้
เพราะมีใครหรือสิ่งใดเป็นอุปสรรคขัดขวางตน
จิตก็จะสั่นสะเทือนต่อต้าน ตอบโต้หรือต่อสู้ทันที
สิ่งที่จิตสั่นสะเทือนเป็นด้านลบนี้ก็คืออารมณ์ขยะ
แทนที่มนุษย์จะใช้ความอยากไม่อยากหรือตัณหา
ทำการตอบสนองสิ่งเร้าตามที่เรากล่าวมา
จิตหยาบก็จะใช้อารมณ์ขยะกำหนดพฤติกรรมขยะ
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าที่ตนรับรู้อยู่นั้นแทนก็มีเช่นกัน

ดังนั้น
พฤติกรรมภายนอกต่างๆของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นการพูดและการกระทำ
จึงถูกขับเคลื่อนด้วยจิตหยาบ
จากการสั่นสะเทือนเป็นกระบวนการของขันธ์ 5
ตามที่เรากล่าวเป็นลำดับขั้นตอนมาตั้งแต่ต้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

กระบวนการของขันธ์ 5 ที่ว่านี้
จึงเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของคำว่า
จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว โดยแท้

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น
เป็นการสั่นสะเทือนของกระบวนการขันธ์ 5
ในขั้นตอนของจิตหยาบกลุ่มสังขารขันธ์
ซึ่งก่อให้เกิดการแสดงออกหรือการกระทำต่างๆ
ในมิติโลกทางกายภาพที่มนุษย์สัมผัสรู้ดูเห็นได้

แต่อย่างไรก็ตามท่านทั้งหลายควรจะต้องรู้ว่า
ผลลัพธ์ของจิตที่สั่นสะเทือนในกลุ่มสังขารขันธ์
มันมิได้ก่อให้เกิดแค่กายกรรมวจีกรรมเท่านั้น
แต่แท้จริงแล้วจิตหยาบในขั้นตอนนี้ยังก่อให้เกิด
ผลลัพธ์ในมิติทางพลังงานด้านของจิตเองด้วย
พระบิดาทรงเรียกว่า พลังงานจิต หรือพลังจิต
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่คนโบราณเรียกว่า วิญญาณขันธ์ ขันธ์ที่ห้า
ที่สองตาเปล่าของพวกท่านมองไม่เห็นอีกด้วยนะ

ตัวอย่างเช่น
คลื่นความรัก คลื่นความคิด
คลื่นอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น

ถ้ารักใครจิตก็จะส่งคลื่นรักไปกระทำต่อคนนั้น
ถ้าโกรธใครจิตก็จะส่งคลื่นลบไปกระทำต่อผู้นั้น
ถ้าคิดถึงใครจิตก็จะส่งคลื่นไปกระทำต่อผู้นั้น
โดยคลื่นจิตจะเดินทางไปสู่เป้าหมายในแนวระนาบ
ซึ่งกระบวนการนี้จิตหยาบจะไม่สามารถทำเองได้
จักต้องอาศัยพลัง จิตใต้สำนึก ของจิตวิญญาณ
เป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการขับเคลื่อนเท่านั้น
ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงออกแบบเอาไว้ให้
จิตใต้สำนึกคอยสั่นสะเทือนตามจิตหยาบอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องไปสั่งไปเสือกหรือบงการแต่อย่างใด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พระโอวาททั้งหมดที่เรากล่าวมา
เป็นความจริงของ "ขันธ์ 5" ในระดับอนุตรธรรม
ที่เกินปัญญาความสามารถของมนุษย์จะรู้เองได้

ถ้าท่านทั้งหลายไม่รู้ความจริงนี้
แทนที่จะเรียนรู้เพื่อการใช้ให้เป็นใช้ให้ถูกต้อง
พวกท่านก็จะพากันพยายามจะดับมันแทน
จนนำไปสู่อจินไตยที่รู้ว่าตนไม่รู้เพราะสุดที่จะรู้
จนนำไปสู่ "การเดา" อันเป็นที่มาของ วิปลาสธรรม
จนนำไปสู่การ "หลงทาง" นิพพาน
เพราะเชื่อว่านิพพานคือจิตวิญญาณดับสูญ
เพราะเชื่อว่า "ขันธ์ 5" เป็นที่มาแห่งทุกข์
เพราะเชื่อว่า "ทุกข์" เกิดจากการมีอัตตา
ถ้าดับอัตตาได้หมายถึงตนนั้นนิพพานแล้ว

ขอท่านทั้งหลายจงเปลี่ยน Mind Set
ด้วยการทำความเข้าใจเรื่องนิพพานกับขันธ์ 5
ให้กระจ่างสว่างกมลกันโดยไวเถิด
เพราะเวลาของการปิดยุคพลังงานเก่ามาถึงแล้ว

เราขอย้ำว่า
จิตหยาบต้องนิพพานจิตวิญญาณจึงหลุดพ้น
คำว่า "นิพพาน" คือ การดับกิเลสตัณหาได้สิ้น
จิตหยาบก็จะเป็นจิตที่ผ่องใสพิสุทธิ์
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้
เมื่อนั้นแหละการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ในการใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกจึงจะประสบผล
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทุกคนจึงจะหลุดพ้น
กลับออกไปจากเอกภพหรืออนันตจักรวาลนี้ได้
ซึ่งเป็นนิพพานแท้จริงมิใช่นิพพานเทียมเท็จ

เราขอย้ำว่า
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เรากล่าวมา
เป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบไว้ให้สัตว์ใช้
เพื่อผลิตพลังงานความรักเมตตาค้ำจุนสมดุลโลก
แต่ถ้ามนุษย์อย่างพวกท่านใช้มันเป็นอัตโนมัติ
มันจะเป็นกระบวนการ "หมุนกรรมจักร" เสมอ
ซึ่งเป็นที่มาของกฎแห่งกรรมและสังสารวัฏ

สิ่งที่มนุษย์ต้องทำก็คือ
ท่านต้องเข้าแทรกแซงกรรมจักรของขันธ์ 5
โดยเปลี่ยนเป็นธรรมจักรด้วยความรักและปัญญา
อย่าใช้อารมณ์ขยะรายวันหรือกิเลสตัณหา
สั่นสะเทือนกระบวนการขันธ์ 5 เด็ดขาด
เพราะสัตว์ไม่มีสมองไม่มีกฎแห่งกรรม
แต่มนุษย์เช่นท่านพระบิดาทรงติดตั้งสมองให้แล้ว
ถ้าท่านหมุนกรรมจักรจิตวิญญาณจะหลงมิติ
เมื่อสิ้นอายุขัยจิตวิญญาณตายแล้วจักต้องลงนรก
เพื่อชำระความผิดบาปที่จิตหยาบกระทำไว้
แล้วต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อหมุนธรรมจักรให้ได้
ถ้ายังล้มเหลวอีกก็ยังต้องตายเพื่อเกิดใหม่อีก
จิตวิญญาณจะมีสังสารวัฏต่อไปไม่รู้สิ้นสุด

นี่โลกก็สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
พระบิดาส่งเรามาหงายกะลาที่ครอบอยู่
เพื่อให้มนุษย์ผู้หลงทางเพราะเดินอยู่ในความมืด
ได้แลเห็นแสงสว่างอันเป็นความรักของเรา
ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านมาให้พวกท่าน
ซึ่งเป็นพี่ๆน้องๆของเราเอง

คำว่า "ภพชาติหน้า" ต่อไปนี้ไม่มีโอกาสแล้ว
เพราะโลกกับมนุษย์สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตหยาบต้องส่งจิตวิญญาณกลับสู่แดนสุญตา
บ้านเกิดเมืองนอนที่จากกันมาหลายหมื่นปีให้ได้
จะเกาะติดอยู่กับโลกต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
จะหลุดลอยค้างบนสวรรค์มายาอีกก็ไม่ได้
เพราะจะกลายเป็น "ขยะ" ที่ต้องถูกชำระทิ้ง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/07/2021