15 กันยายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/09/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ที่เรากลับมาจุติในระบบโลกเสรีนี้อีกครั้ง

เป็นการย้อนกลับมาตามสัญญา

เพื่อพิพากษา

 

#คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น

#ส่วนคนที่มองเห็นก็จะกลายเป็นคนตาบอด

 

ความข้างต้นที่เรากล่าวนี้

เราหมายความว่า...

 

เราเป็นผู้กลับมาช่วยเหลือคนที่มองไม่เห็น

หมายถึงคนที่ขาดแสงสว่างทางปัญญา

ไม่สามารถคิดรู้ด้วยจิตปัญญาในตนเอง

เพื่อเข้าถึงความจริงใน 3 ระดับนี้ได้ คือ

 

1. ความจริงในระดับ #โลกิยธรรม

2. ความจริงในระดับ #โลกุตรธรรม

3. ความจริงในระดับ #อนุตรธรรม

 

เพราะถ้าหากท่านใดไม่รู้ไม่เข้าใจ

สัจธรรมในการดำเนินชีวิตทั้ง 3 ระดับเหล่านี้

นอกจากท่านจะล้มเหลวในการเป็นมนุษย์

และบกพร่องต่อพันธะสัญญา 6

ซึ่งท่านได้ให้สัจจะต่อพระบิดาเอาไว้แล้ว

 

มันยังเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน

มิอาจเข้าถึง "นิพพานแท้" คือ #หลุดพ้น

ออกไปจาก "อนันตจักรวาล" ผ่านด่านนภาลัย

คืนกลับแดนสุญตาบ้านเกิดของจิตวิญญาณได้

 

โดยเฉพาะสัจธรรมความจริง

ในระดับ "อนุตรธรรม"

ซึ่งเราย้ำต่อท่านทั้งหลายอยู่ตลอดมาว่า

มีเพียงพระผู้เป็นเจ้ากับบุตรเอกเท่านั้น

ที่จะสามารถเปิดเผยความจริงให้มนุษย์รู้ได้

เพราะสัจธรรมระดับสูงสุดที่ว่านี้

สมองในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

มีขีดจำกัดจนไม่สามารถเข้าถึงความจริงนี้ได้

 

หากจะเปรียบเทียบ

ให้ท่านทั้งหลายแลง่ายเข้าใจง่ายว่า

องค์ความรู้ที่เป็นความจริงระดับอนุตรธรรม

มันเป็นความจริงแบบไหนกันหรือ

ที่สมองมนุษย์มีขีดจำกัดจนเข้าถึงกันเองไม่ได้

เชิญท่านพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ดูเถิด

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

กรณีอัตชีวประวัติของท่าน

ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเหล่านี้ เช่น

 

พ่อแม่บังเกิดเกล้าของท่านเป็นใคร

สถานที่เกิดที่บ้านหรือโรงพยาบาลไหน

ข้อมูลวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของท่าน

คนที่ทำคลอดให้หรือหมอตำแยเป็นใคร

ใครเป็นคนตั้งชื่อให้ท่านฯลฯ เป็นต้น

 

ท่านจะเห็นได้ว่าคำตอบที่ถูกต้องตรงจริง

ที่จะได้จากคำถามเหล่านี้นั้น

จิตปัญญาของมนุษย์แต่ละคน

จะมีความสามารถแค่เพียงนึกตั้งคำถามตนเอง

ตามตัวอย่างทั้ง 5 คำถามนี้เท่านั้น

แต่จะไม่สามารถตอบคำถามตัวเอง

ในเรื่องของตัวเองเหล่านี้ได้เลย

เพราะไม่มีสมองส่วนไหนตอบสนองให้ได้

เนื่องจากสมองถูกสร้างไว้อย่างมีขีดจำกัด

 

ถ้าลูกคนนั้นอยากรู้คำตอบทั้ง 5 คำถามนี้

ก็จำต้องถามหาความจริงกับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

และต้องถามท่านผู้รู้ความจริงให้ถูกคนด้วย

นั่นคือ พ่อ แม่ ญาติ หรือหมอทำคลอด

หากอยากรู้เรื่องใดตนควรจะถามใคร เป็นต้น

ความรู้ที่เป็นความจริงในลักษณะนี้

ไม่มีใครสามารถถามตัวเองแล้วตอบเองได้

 

ดังนั้น

สัจธรรมระดับอนุตรธรรม

จึงหมายถึง #ความจริงที่แท้จริง ลักษณะที่ว่านี้

 

สัจธรรมระดับอนุตรธรรม

จึงมิใช่สัจธรรมในระดับที่พระศาสดาทั่วไป

ได้ทรงประกาศสอนแก่ท่านทั้งหลายไว้

แต่มันเป็น #ใบไม้นอกกำมือ พระศาสดาโดยแท้

 

ตัวอย่างความจริงระดับอนุตรธรรม

ที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้มีดังต่อไปนี้

 

1. จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน

2. จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

ใครเป็นผู้อนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์

 

3. จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง ไม่ทำไม่ได้

 

4. จิตวิญญาณของท่าน

ต้องการให้มนุษย์เช่นท่าน

ต้องทำสิ่งใดและต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง

 

5. มนุษย์กับโลก

เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร

 

6. อื่นๆอีกมากมาย

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ทั้ง 5 คำถามที่สำคัญที่เรายกตัวอย่างมา

พระศาสดาที่เกิดจากโลกเอง

ไม่มีพระองค์ใดทรงตอบคำถามเหล่านี้ได้

พระองค์จึงไม่เคยกล่าวสอนไว้

 

ถ้าใครยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

แล้วปฏิเสธพระบุตรเอก

ที่เสด็จลงมาจุติเพื่อกล่าวพระโอวาท

ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณท่านทั้งหลาย

ก็จะกลายเป็นบุตรอกตัญญู

ที่ไม่รู้ความจริงขั้นสูงสุดที่ต้องรู้เหล่านี้

 

จนยังผลให้ "หลงทางนิพพาน"

ไม่ยอมกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเมื่อตายแล้ว

แต่กลับยอมที่จะไปเกิดเป็นเทพเทวดา

เพราะเข้าใจว่าหลุดลอยเบี่ยงไปเกิดบนนั้น

เป็นดินแดนสวรรค์เป็นแดนแห่งการเสวยสุข

เป็นดินแดนที่เหนือกว่าสูงกว่าโลกมนุษย์

 

จนละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ที่ตนจะต้องทำตามพันธะสัญญา

 

ทั้งนี้เป็นเพราะไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร

มาเกิดบนโลกทำไม

ตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

 

เมื่อไม่รู้ความจริงเหตุเพราะคิดเองก็ไม่ได้

แถมยังปฏิเสธพระบุตรเอกเสียอีก

เพราะหลงยึดติดแต่ครูคนเดียวศาสดาเดียว

แล้วยังหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดอีกด้วย

พวกเขาจึงพาท่านหนีทุกข์พ้นทุกข์เป็นการใหญ่

ทำเหมือนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องใหญ่มาก

ทำเหมือนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องน่ากลัวมาก

จึงชวนท่านตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก

แต่ชวนท่านบ้าบุญงดบาปเพื่อสร้างทางเบี่ยง

พากันไปเกิดเป็นทวยเทพเทวดาแทน

แล้วบอกว่า...ทางนี้แหละนิพพานแล้ว

ทั้งๆที่เป็นนิพพานเทียมมิใช่นิพพานแท้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราจำต้องกลับมา

ในภพสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่านี้

 

เพื่อช่วยฉุดช่วย "แกะ" ผู้ที่หลงยึดติดสิ่งเก่าๆ

เสมือนดั่งช่วย "คนตาบอด" ผู้ไม่เห็นความจริง

ให้หูตาสว่างพ้นไปจากความมืดมิดทางปัญญา

อำนาจในการช่วยเหลือที่เราถือติดตัวมา

เป็นพระอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา

ที่จะช่วยให้คนตาบอดให้กลับมามองเห็นได้

ในอดีตกาลเราจึงใช้คำว่า #พิพากษา

เพราะช่วยได้เด็ดขาดหายจากตาบอดแน่ๆ

 

นอกจากนั้น

เมื่อเราช่วยคนตาบอดให้มองเห็นความจริง

ด้วยสติปัญญาที่ตนมีอยู่เสมือนคนตาดีได้แล้ว

พวกเขาก็จะไม่ทำผิดบาปด้วยความไม่รู้อีกเลย

 

คนที่ไม่ทำผิดบาป

จึงเปรียบได้ดั่งคน "ตา" บอด

เพราะคน "ตาบอด" หมายถึง

 

คนที่มีตามองเห็นอยู่แต่เหมือนไม่มี

คนที่มีหูได้ยินอยู่แต่เหมือนไม่มี

คนที่มีจมูกได้กลิ่นอยู่แต่เหมือนไม่มี

คนที่มีปากและลิ้นกินพูดได้อยู่แต่เหมือนไม่มี

คนที่มีกายสัมผัสร้อนเย็นอยู่แต่เหมือนไม่มี

คนที่มีจิตรู้สึกรู้นึกอยู่แต่ก็เหมือนไม่มี

 

เมื่อคนๆหนึ่ง

มีกลไกอายตนะทั้ง 6 อยู่แต่เหมือนไม่มี

ทั้งๆที่มิได้พิการแต่ใช้การได้ดีอยู่

แต่สามารถที่จะควบคุมการทำงานของมันได้

ด้วย #มหาสติ ตามมรรควิถีจิตจักรวาล

โดยฉลาดที่จะรับรู้เพื่อเรียนรู้อย่างฉลาดๆ

คนเหล่านี้จึงอยู่เหนือการกระทำของตนได้

โดยไม่ตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม

 

พวกเขาเหล่านี้จึงเสมือนว่าเป็นคนตาบอด

เพราะมีกลไกอายตนะทั้ง 6 แต่เหมือนไม่มี

พวกเขาจึงไม่มีการทำผิดบาปอะไรอีก

 

ในอดีตกาลที่ผ่านมา

เรากล่าวของเราไว้เช่นนั้นจริงทุกประการ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

15-09-2019