#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งที่เป็น
"ความเชื่อ" เรื่อง #นิพพาน
ของประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลาย
ที่พวกเขาเฝ้าสั่งสอนผู้หลับตาก้าวเดินตาม
ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมานับพันปีจนบัดนี้
กับ "ความจริง"
เรื่อง #การหลุดพ้น
ตามมรรควิถี
#จิตจักรวาล
ที่เรานำมาเปิดเผยต่อท่านทั้งหลาย
ในคาบสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่านี้นั้น
มันเป็นคนละเรื่องกันนะ
ท่านทั้งหลายจงอย่าหลงผิดไปคิดแค่ว่า
คำว่า "นิพพาน"
ที่คนนำทางตาบอดสอนไว้
หมายถึง
เมื่อตายแล้วจะไม่ย้อนคืนกลับมา
เกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้เพื่อมีภพชาติใหม่อีก
เพราะพวกคนนำทางตาบอดเขาเชื่อกันฝังใจว่า
การมีสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ
ที่นำมาซึ่งความทุกข์ของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาจึงมองว่า
ถ้าหยุดการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกนี้เสียได้
พวกเขาก็จะ
"พ้น" ไปจากเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
พวกเขาจะพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
พวกเขาจึงได้แต่เน้นย้ำชักชวนให้ท่าน
หมั่นทำบุญสุนทานกันมากๆ
และให้ละเว้นการทำบาปหยาบชั่วให้จงได้
เพื่อจะนำพาจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ไปจุติอยู่บน
"สวรรค์มายา" แทน
เพราะเชื่อว่าเป็นภพภูมิที่สูงกว่าโลกมนุษย์
เมื่อไปอยู่บนนั้นแล้ว
(คาดว่า) จะอยู่อย่างสงบสุข
โดยไม่มีอะไรให้ทุกข์ให้วุ่นวายเหมือนโลกมนุษย์
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ความ "เชื่อว่า"
และ ความ "คาดว่า" นี่แหละ
จึงเป็นที่มาของการให้สมญานามว่า
#คนนำทางตาบอด
แก่คนที่เป็นครูผู้สอนธรรม
ผู้อาสานำทางจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ปลีกหนีความทุกข์ออกไปจากโลกเสรีนี้
โดยสร้างทางเบี่ยงมุ่งสู่แดนสวรรค์มายาแทน
เนื่องจากวิธีคิด
ความเชื่อ และการคาดเดา
เป็นความคิดเข้าใจของคนนำทางตาบอดเอง
ที่ถอดความหมายสัจธรรมจากพระโอษฐ์ผิด
เพราะพระศาสดามิได้ทรงตรัสเอาไว้เช่นนั้นเลย
พวกเขาคิดเองเออเองแล้วอ้างพระศาสดา
จึงพากันหลงทางไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา
เพราะว่าจิตไม่ปรารถนาจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
เมื่อไม่สร้างกรรมใหม่
แล้วหมั่นทำความดีละเว้นการทำชั่วได้
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็จะมีน้ำหนักเบา
โดยเบากว่าน้ำหนักจิตวิญญาณของมนุษย์ทั่วไป
และจะมีพลังบุญบารมีที่เป็นอำนาจเมอร์คขะบาห์
มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ถือศีลครองธรรม
จิตวิญญาณของคนเหล่านี้จึง
"หลุดลอย"
ไปเกิดเป็นทวยเทพเทวดาหรืออินทร์พรหม
ในภพภูมิอื่นที่สมมติกันขึ้นมาเองที่มิใช่โลกมนุษย์
ซึ่งเป็นไปถาม
"ยถากรรม" ที่ทำไว้นั่นแหละ
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
นี่จึงเป็นที่มาที่เรากล่าวต่อท่านมานานแล้วว่า
แดนสวรรค์มายามิใช่ภพภูมิที่พระบิดาทรงสร้าง
แต่มันถูกสร้างขึ้นจากจิตที่หลงผิดของมนุษย์เอง
เพราะมนุษย์พวกนี้ไม่รู้สัจธรรมระดับอนุตรธรรม
เพราะไม่ยอมรับฟัง
"พระบุตรเอก" ตัวแทนพระบิดา
ที่พระองค์ส่งมากล่าวอนุตรธรรมให้โลกรู้
เนื่องจากเป็นสัจธรรมที่พระศาสดาทั่วไป
ไม่มีหน้าที่จะกล่าวต่อโลกให้ได้รู้
จึงยังผลให้คนส่วนใหญ่ที่ยึดติดพระศาสดา
แล้วปฏิเสธที่จะรับฟังคำกล่าวของ
"พระบุตรเอก"
ผู้ที่ทรงรับสื่อถ่ายทอดอนุตรธรรมมาจากพระเจ้า
ไม่สามารถเรียนรู้ความจริงขั้นสูงสุดที่ว่านี้ได้เลย
พวกเขาจึงมีเหตุให้เกิดการหลงทุกข์-หลงธรรม
จนนำพาจิตวิญญาณพี่ๆน้องๆหลงทางกันหมด
อนุตรธรรมความจริงสูงสุดที่คนนำทางตาบอดไม่รู้
เพราะไม่ยอมเปิดใจรับรู้รับฟังเพื่อเรียนรู้
จากการสื่อถ่ายทอดโดย
"พระบุตรเอก" ที่ผ่านมา
พวกเขาจึงไม่รู้ว่า
1. จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นใคร
มาจากไหน
2. จิตวิญญาณของมนุษย์มาเกิดบนโลกทำไม
3. จิตวิญญาณของมนุษย์ใครเป็นผู้ให้มาเกิด
อย่างน้อยสัจธรรมทั้ง
3 ข้อนี้หากไม่รู้
ก็จะยังผลให้เกิดอาการ
"หลง" ได้ทันที
กล่าวคือ
1. จะเกิดอาการการ
#หลงทุกข์
เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์หรือเรื่องราวใดๆในชีวิต
ที่เป็นเหตุให้จิตของพวกเขา
"ติดทุกข์"
คือ
เกลียดกลัวความทุกข์หรือไม่อยากทุกข์
อยากมีความสุขหรือไม่อยากทุกข์
มันล้วนแล้วแต่เป็น
"บทละคร" หรือชะตาชีวิต
ที่จิตวิญญาณตนเองขีดเขียนกันมาเองทั้งสิ้น
เป้าหมายของบทละครที่ขีดเขียนร่วมกันมานั้น
ล้วนต้องการให้ทุกคน
ยอมรับ ยอมรัก ยอมร่วม
และยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเข้าหาผู้อื่น
เพื่อสร้างสานสายสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
หรือเพื่อรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันเอาไว้ให้ได้
บทละครจึงวางเงื่อนไขเอาไว้ทั้งด้านดีและไม่ดี
สลับกันไปคละเคล้ากันไปโดยตลอด
ด้านดีคือด้านที่เขาแสดงออกต่อท่านแล้วชอบใจ
ด้านไม่ดีคือด้านที่เขากระทำต่อท่านแล้วไม่ชอบ
คนเคยดีๆกับท่านมาเขาก็มักจะทำไม่ดีกับท่านได้
คนที่เคยไม่ดีกับท่านก็อาจจะทำดีกับท่านได้ด้วย
ท่านทั้งหลายล้วนเผชิญกันมาแบบนี้ทั้งนั้น
การทำดีหรือทำไม่ดีนี่แหละ
มันคือเงื่อนไขในบทละครที่จิตวิญญาณของท่าน
ขีดเขียนกันมาตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้เกิดเป็นคน
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุกกระตุ้นจิตหยาบ
ให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นทางด้านบวกให้จงได้
เพื่อให้จิตหยาบและกายหยาบของผู้ถูกกระตุ้น
ยกระดับการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดให้จงได้
เมื่อใดที่จิตกับกายสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกสูงสุดได้
ก็จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้
ณ บัดนั้น
การทำเช่นนี้คือการ
"หมุนธรรมจักร" นั่นเอง
เมื่อหมุนธรรมจักรในตนเองได้ดั่งนี้แล้ว
ท่านก็จะเป็นเหตุให้คนรอบข้างหมุนธรรมจักรไปด้วย
เมื่อทุกคนรอบๆตัวท่านร่วมกันหมุนธรรมจักรได้
พลังร่วมจากจิตด้านบวกของพวกท่านทุกคน
ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้ในทุกวินาที
จะแบ่งปันให้กับแกนโลกที่พระองค์ติดตั้งกลไกไว้
เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวอง
ของดาวเคราะห์โลกดวงนี้อย่างต่อเนื่อง
และใช้ในการผลิตก๊าซออกซิเจนภายในแกนโลก
เพื่อหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนดาวโลกดวงนี้ได้
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
หน้าที่ของท่านแต่ละคนบนโลกนี้
อันเป็นภาระหน้าที่ทางจิตวิญญาณหลักๆน่ะมีเท่านี้
เพราะคนนำทางตาบอด
ดื้อรั้นในการยึดติดพระศาสดาเดียวคัมภีร์เดียว
แล้วพากันปฏิเสธพระบุตรเอกและพระเจ้า
ผู้ให้กำเนิดเกิดเกล้าจิตวิญญาณของตัวเองด้วย
จึงมิอาจรู้ความจริงที่จริงแท้ของตนเองเหล่านี้
เลยพากันหลงทุกข์กันเป็นการใหญ่
ทั้งๆที่เป็นเงื่อนไขที่ตนเองร่วมสร้างกันมาเองแท้ๆ
แถมยังดูแคลนคนทั่วไปด้วยว่า
ถ้าใครยังไม่รู้เรื่องทุกข์ให้ถึงแก่น
แสดงว่าคนนั้นยังไม่รู้ธรรมเท่าตนเองอีกแน่ะ
2. จะเกิดอาการ
#หลงธรรม
เพราะไปเข้าใจผิดว่าพระศาสดาของตนนั้น
ทรงเน้นย้ำเรื่องความทุกข์อันเกิดจากสังสารวัฏว่า
เกิดแก่เจ็บตายในจักรวาลโลกนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
แล้วคนนำทางตาบอดก็สรุปเหมาเดาเองดื้อๆว่า
พระศาสดาทรงสอนให้มุ่งดับการมีสังสารวัฏ
โดยต้อง
"นิพพาน" การเกิดบนโลกเสรีนี้ให้ได้
ที่พวกเขาสรุปเอาเองเช่นนั้น
เพราะพวกเขานำประเด็นการหนีออกจากวัง
มาเป็นหลักคิดของตนเองว่า
"ทรงหนีทุกข์"
พวกเขานำเอา
"อริยสัจ 3 กับ มรรค 8"
ที่พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมนี้ได้ว่า
เป็นสัจธรรมชั้นสูงสุดในจักรวาลที่ทรงตรัสรู้ได้
ทั้งๆที่สัจธรรมที่ว่านี้เป็นเพียงความคิดธรรมดา
ที่ใครก็คิดได้ว่าถ้าเกิดทุกข์ต้องดับด้วยอริยสัจ
3
แต่ถ้าป้องกันมิให้ทุกข์ก็ให้ปฏิบัติมรรค
8 เอาไว้
ซึ่งท่านจะไปย้อนทวนคำสอนพระศาสดาเองก็ได้
โดยพวกเขาสับสนอย่างยิ่ง
ที่ไปหลงผิดคิดว่าภารกิจหลักของจิตวิญญาณ
คือ
ต้องการหนีทุกข์ พ้นทุกข์ ไปจากโลกนี้
แล้วนำเอาพระศาสดาของตนมาอ้างให้คนเชื่อ
ทั้งๆที่ใครๆก็คิดเองได้ว่าถ้าจิตวิญญาณจะมาเกิด
เพื่อเรียนรู้เรื่องทุกข์แล้วหาทางพ้นทุกข์ให้ได้
คงไม่มีใครโง่ที่จะมาเกิดหรอก
เพราะการจะได้รับโอกาสให้มาเกิดก็ไม่ง่าย
การเกิดมีกายหยาบในครรภ์มารดาก็ยิ่งยากขึ้น
การเติบโตเพื่อดำรงชีวิตและการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายเมื่อสิ้นอายุขัย
มันก็ไม่มีอะไรง่ายเลยสักอย่างเดียว
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว
แสดงว่าการที่จิตวิญญาณพวกท่าน
ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้นั้น
มิได้มาโดยฟลุ้คอุบัติขึ้นมาเองแบบหนังการ์ตูน
มิได้มาเพื่อท่องเที่ยวลดเลี้ยวไปในจักรวาล
มืได้มาเพื่อเรียนรู้เรื่องทุกข์แล้วหนีทุกข์ไปให้พ้น
แต่จิตวิญญาณท่านมาเกิดเพราะ
#มีหน้าที่ต้องทำ
แน่นอนว่าหน้าที่ๆจิตวิญญาณต้องทำ
ก็คือ
อนุตรธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไว้
บทที่ว่าด้วย
#ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร นั่นเอง
มิใช่อริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปดแต่อย่างใด
การหลงธรรมที่ว่านี้แหละ
จึงไม่ต่างจากการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด
จนยังผลให้ปฏิบัติธรรมมานานแต่ยังนิพพานไม่ได้
พวกท่านยังคงต้องมีสังสารวัฏอยู่
หลายท่านยังต้องเกิดเป็นทวยเทพเทวดากันอยู่
ยังนิพพานแท้ไม่ได้คงได้แต่นิพพานเทียมๆเท่านั้น
เพราะนิพพานแท้
คือ
จิตวิญญาณหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อกลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณในแดนสุญตา
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้าทรงรออยู่
โดยไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
เพราะเสร็จสิ้นภารกิจของจิตวิญญาณแล้ว
และสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
3. จะเกิดอาการ
#หลงทาง
เพราะหลงธรรมแบบหลงผิดคิดเองเออเอง
ด้วยเข้าใจว่าสัจธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ได้
คือ
อริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปด
ก็เลยวุ่นวายอยู่กับการ
"หลงทุกข์ หลงสุข"
จนไม่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเพื่อคนอื่น
ไม่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเพื่อโลกและจักรวาล
ด้วยการเรียนรู้ที่จะหมุนธรรมจักรให้สำเร็จให้ได้
คงคิดแค่วันๆจะเอาตัวรอดไปจากบ่วงทุกข์ให้ได้
ทั้งๆที่ทุกข์สุขมันเกิดที่จิตใจมิได้อยู่ในโลกนี้
แม้หนีไปเกิดเป็นเทพเทวดาจิตก็ยังพาทุกข์ติดไป
จะหนีเข้าป่าหรือพาหนึขึ้นสวรรค์มายา
เจ้าตัวทุกข์ที่ว่านั้นมันก็ยังติดตามเหมือนดั่งเงา
ดังนั้น
นอกจากบวชนานแล้วยังนิพพานแท้ไม่ได้
นอกจากไปเกิดบนสวรรค์มายามานมนาน
ก็ยังไม่สามารถผ่านออกไปจากอนันตจักรวาลได้
ก็เพราะหลงทุกข์
หลงธรรม และหลงทาง
ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่านอกอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
คือบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณที่จากมา
ที่เรียกกันว่าแดนนิพพานหรือแดนสุญตา
ที่จิตหยาบจักต้องนำพาจิตวิญญาณของตน
หลุดพ้นออกไปให้ได้นั่นแหละท่าน
เพราะไม่ยอมรับพระบิดาของตน
เพราะปฏิเสธพระบุตรเอกที่ทรงรักพวกตน
ซึ่งเป็นพระองค์เดียวเท่านั้นในยุคปัจจุบันนี้
ที่จะนำพาจิตวิญญาณของท่านนิพพานแท้
โดยหลุดพ้นออกไปจากโลกและเอกภพนี้ได้
ภายในภพชาติเดียวสุดท้ายนี้
โดยไม่ต้องใช้โอกาสเปลืองอีกต่อไป
จึงยังคง
"หลงๆๆๆๆ" กันอยู่
เพราะการ
"ยึดติด" กับหลายๆสิ่งที่เป็นมายา
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
พระบิดาให้เรากลับมาช่วย
"แกะ" ซึ่งยากนักหนา
เพราะว่าแทนที่จะยอมปล่อยวางจากการยึดติด
กลับออกแรงยึดติดเสียจนแน่นมากขึ้น
ช่างสมกับสมญานามว่า
"ลูกแกะ"
คือ
ลูกที่ต้องแกะเสียจริงๆ
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-09-2019