02 กุมภาพันธ์ 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 2/02/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

นี่เป็นภาพวัตถุรูปทรงกลมขนาดใหญ่

ที่กำลังเคลื่อนตัวออกมาจากดวงอาทิตย์

ซึ่งกล้องของดาวเทียม Soho

Lasco C2 และ C3

สามารถจับภาพนี้เอาไว้ได้อย่างชัดเจน

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2019

 

หลังจากที่

กล้องบันทึกภาพทั้งสองกล้อง

จากดาวเทียมดวงเดียวกันนี้

ก็สามารถบันทึกภาพวัตถุขนาดใหญ่

ลักษณะทรงกลมแบบเดียวกัน

กำลังเคลื่อนตัวออกมา

จากดวงอาทิตย์เอาไว้ได้

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา

 

จากการสำรวจพบปรากฏการณ์นี้

ทำให้นักสำรวจวิจัย UFO ตั้งสมมติฐานว่า

วัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ที่เห็นนี้ก็คือ UFO

ซึ่งเป็นยานพาหนะของ ALIENS

โดยพวกเขาใช้ดวงอาทิตย์

เป็น Star Gate หรือประตูมิติ

เดินทางข้ามผ่านเข้ามาสู่จักรวาลโลก

 

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

แท้จริงแล้วดวงอาทิตย์มิได้เป็นประตูมิติ

ที่เรียกว่า Star Gate ของเอเลี่ยนส์ใดๆ

ที่จะข้ามมิติเข้ามายังจักรวาลโลกหรอก

การเดินทางท่องจักรวาลของเอเลี่ยนส์นั้น

พวกเขาสามารถทำได้สองวิธี

ทั้งนี้ขึ้นกับว่ามี Low หรือ Hi เท็คโนโลยี

 

ถ้าเท็คโนโลยียังไม่สูงพอ

พวกเขาก็เดินทางด้วยยานที่ทำด้วยวัตถุ

โดยขับเคลื่อนเครื่องยนต์ด้วยเชื้อเพลิง

ที่ได้มาจากกระบวนการแยกก๊าซ

ไฮโดรเจนและออกซิเจนออกจากน้ำ

เพื่อใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงจุดระเบิด

และใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นตัวช่วยเผาไหม้

ซึ่งน้ำแค่ไม่กี่ลิตรก็ใช้เป็นเชื้อเพลิง

เดินทางข้ามจักรวาลไปได้ไกลอยู่เช่นกัน

โดยที่ "น้ำ" เป็นเชื้อเพลิงเริ่มต้น

ที่สามารถแวะหาที่ไหนก็ได้ในจักรวาลนี้

 

ส่วนผู้ที่มีเท็คโนโลยีสูงๆ

ตัวยานบินจะทำด้วยวัสดุจำพวกโลหะอโลหะ

พวกเขาสามารถเดินทางข้ามจักรวาลได้

ด้วยการย้ายมวลของยานและตนเอง

จากมิติหยาบๆทางกายภาพ

ไปสู่มิติทางพลังงานซึ่งเป็นมิติที่สูงกว่า

แล้วเดินทางเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้แสง

ไปยังที่ใดก็ได้ในจักรวาลอันไพศาลนี้

 

หลักการย้ายมวลจากมิติหยาบๆ

ไปสู่มิติทางพลังงานที่มีมวลละเอียดกว่า

ซึ่งสามารถทำได้ภายในพริบตาเดียว

ด้วยการทำให้ค่าความหนาแน่นเป็นลบ

คือ ความหนาแน่นทั้งระบบต่ำกว่าศูนย์

เพียงแค่ภายในเวลาไม่กี่วินาที

ตัวยานทั้งระบบรวมทั้งตัวผู้บังคับยานด้วย

จะหายวับ หรือ ว๊าป ไปในพริบตา

 

สำหรับผู้ที่มีเท็คโนโลยีสูงสุดนั้น

พวกเขาสามารถเข้าออกระบบโลก

หรือเดินทางข้ามมิติได้ง่ายดายกว่าใครอื่น

เพราะพวกเขาสามารถเดินทางเคลื่อนที่

ด้วยกล่องพลังงานของตนเอง

โดยไม่ต้องอาศัยยานพาหนะใดๆ

นอกจากเมอร์คขะบาห์ของตนเองเท่านั้น

 

เมื่อเดินทางเข้ามายังระบบโลกนี้แล้ว

พวกเขาจะสามารถทำให้ตนเอง

มีค่าความหนาแน่นเป็นบวกด้วยพลังจิต

เพื่อสร้างกายหยาบในรูปลักษณ์ที่ต้องการ

ซึ่งกายหยาบสามารถโต้ตอบปฏิสัมพันธ์

กับสนามแม่เหล็กโลกได้อย่างลงตัว

จึงสามารถเดินไปไหนมาไหนบนโลกนี้ได้

โดยแยกไม่ออกว่าพวกเขามาจากดาวอื่น

 

จึงมิพักต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา

หรือหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเหมือนโจร

 

ดังนั้น

การตั้งสมมติฐานว่า

ดวงอาทิตย์ของโลกเป็นประตูมิติ

หรือ Star Gate เป็นการ "เดา" ที่ผิดถนัด

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

สิ่งที่ท่านเห็นแล้วเดาว่าเป็น UFO

ก็นับว่าถูกต้องแล้วล่ะท่าน

 

แต่ที่ท่านเห็นยานลำใหญ่จำนวนหลายลำ

เคลื่อนตัวออกมาจากภายในดวงอาทิตย์

โดยยานทุกลำมีรูปลักษณ์ทรงกลม

และมีขนาดใหญ่เท่าๆกันแล้ว "เดา" ว่า

ยานเหล่านี้เข้าไปลักโขมยพลังงาน

ออกมาจากดวงอาทิตย์

หากคิดเดาอย่างนี้ท่านก็เดาผิดอีกแหละ

 

เพราะแท้จริงแล้วช่างเท็คนิกเหล่านี้

เขาเป็นพี่ๆน้องๆที่เข้ามาช่วยเหลือ

เพื่อเติมเต็มพลังงานดิบให้ดวงอาทิตย์

เสมือนหนึ่งเป็นคาราวานขนเชื้อเพลิง

ที่เดินทางข้ามจักรวาลมาสู่ระบบสุริยะนี้

 

นี่คือความจริงที่เราขอเปิดเผยให้ได้รู้ไว้

จะได้ไม่ต้องดูแอนด์เดาต่อไปอีก

 

ท่านคงมีคำถามว่า

การเติมพลังงานดิบให้ดวงอาทิตย์

โดยช่างเท็คนิกเหล่านี้

เพิ่งจะมีเพิ่งจะทำเช่นนั้นหรือ

คำตอบก็คือ "ไม่ใช่"

 

แท้แล้วปฏิบัติการนี้

เป็นปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงตามปกติ

นับตั้งแต่พระองค์ทรงสร้าง

ระบบสุริยจักรวาลนี้มานานแล้วล่ะ

ท่านเองเรียกช่างเท็คผู้ดูแลดวงอาทิตย์ว่า

"พระสุริยเทพ" ไงล่ะ

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เนื่องจากดวงอาทิตย์ของโลก

มีการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา

โดยเฉพาะตรงบริเวณจุดดับหรือจุดดำ

อันเกิดจากการระเบิดบนพื้นผิว

เพื่อสร้าง Solar Flare รวม 6 จุด

ให้ปล่อยพายุสุริยะแผ่ออกมาโดยรอบ

รวมทั้งการปล่อยพลังงานในรูปแสงสว่าง

ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงดิบด้วยกันทั้งสิ้น

 

เชื้อเพลิงดิบเป็นสิ่งสิ้นเปลือง

เมื่อใช้ไปตลอด 24 ชั่วโมงก็หมดไปเรื่อยๆ

แต่ละวันจึงต้องมีการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา

เพราะดวงอาทิตย์ผลิตเชื้อเพลิงเองไม่ได้

นี่จึงเป็นการเปิดเผยตัวตนให้มนุษย์โลก

ได้เห็นเป็นประจักษ์แก่ตาจากภาพดาวเทียม

ก่อนการปิดยุคพลังงานจะสิ้นสุดลง

ซึ่งเป็นหนึ่งในความรู้ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าไม่รู้

 

สำหรับเชื้อเพลิงดิบในดวงอาทิตย์นั้น

จะประกอบด้วยก๊าซเหลวรวม 7 ชนิด คือ

 

1. ออกซิเจน

2. แอมโมเนีย (Ischiam Dioxide)

หรือ "โมโน ออกซี่ ได แอมโมเนี่ยม"

3. คาร์บอนไดออกไซด์

4. โซเดี้ยม

5. ซัลเฟอร์

6. ไนโตรเจน

7. ไฮโดรเจน

 

ซึ่งแอมโมเนียเหลวนี้

พระผู้สร้างทรงกำหนดเอาไว้ให้

ทำหน้าที่ช่วยหลอมละลายก๊าซเหลวอื่นๆ

ให้เข้ากันด้วยพลังงานความร้อน

 

ส่วนบริเวณชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์

ทรงห่อหุ้มไว้ด้วยก๊าซไนโตรเจนเหลว

เพื่อให้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแสงสว่าง

และรังสีความร้อนออกไปในจักรวาล

เพราะก๊าซไนโตรเจนเหลวนี้

มีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือ ไม่มีความหนืด

โดยความร้อนและเปลวไฟจากใจกลาง

ที่ถูกกระตุ้นด้วยแอมโมเนียเหลว

จะเป็นผู้จุดระเบิดไนโตรเจนเหลวรอบนอก

จนทำให้เกิดการระเบิดขึ้นบนพื้นผิว

ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นเป็นโซล่าแฟลร์

ส่งพายุสุริยะพุ่งออกมานั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ขณะนี้ในแผนปฏิบัติการชำระโลก

ต้องใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์มหาศาล

การเกิดจุดดำบนดวงอาทิตย์

ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 6 จุดจึงเป็นเรื่องจริง

การเกิดพายุสุริยะจากการระเบิดบนพื้นผิว

จึงเกิดถี่ขึ้นเพื่อส่งพลังงานชำระมายังโลก

 

ปรากฏการณ์ Polar Vortex

จากฑูตสวรรค์เป่าแตรทางขั้วโลกเหนือ

จนทำให้เกิดความหนาวจัดจนน้ำเป็นน้ำแข็ง

จากขั้วโลกลงมาถึงแคนาดา

จนถึงตอนบนของแผ่นดินสหรัฐอเมริกา

ยุโรปตอนบนและเอเซียตะวันออก

จนหนาวจัดสุดๆในรอบ 20 ปี

 

ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว

ที่เกิดขึ้นทุกวันทุกคืนและทั่วโลก

ด้วยแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในพิกัดเดิมๆที่สั่นไหวซ้ำซากนั้น

 

ปรากฏการณ์ภูเขาไฟเก่าปะทุใหม่

กับการปะทุถี่ขึ้นแรงขึ้นอย่างน่ากลัว

และการเกิดขึ้นของภูเขาไฟใหม่ๆ

ที่แสดงตัวด้วยการจามออกมาดังๆ

 

ปรากฏการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง

จนเกิดอุทกภัยแบบฉับพลันในบางพื้นที่

ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่เคยมีน้ำท่วมใหญ่

ไม่เคยมีพายุรุนแรงมาก่อน

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ปรากฏการณ์ทางกายภาพทั้งหมดเหล่านี้

เป็นตัวชี้วัดความจริงทั้งหมดที่เรากล่าวมา

และเป็นเครื่องยืนยันว่า

ดวงอาทิตย์ของโลกต้องใช้พลังงาน

ในปฏิบัติการชำระโลกค่อนข้างมาก

 

ดังนั้น

คาราวานยานขนส่งเชื้อเพลิงดิบ

เพื่อเข้าเติมเต็มให้แก่ดวงอาทิตย์

จึงต้องมีหลายลำและเติมบ่อยกว่าปกติ

จงอย่าได้แปลกใจอะไรอีกเลย

 

ในอีกไม่ช้าแล้ว

ความร้อนแรง

ความเข้มของแสงสว่าง

และรังสีต่างๆจากดวงอาทิตย์

ที่แผ่ผ่านมายังดาวโลกดวงนี้

จะเพิ่มขึ้นอีกราวๆเท่าตัวจากระดับปกติ

โดยจะมีจุดดำเพิ่มขึ้นจาก 6 จุด

โลกจะร้อนมากกว่าปัจจุบัน

 

ว่าแต่ว่า....

หากต้องการได้รับความรอด

ตัวท่านเองน่ะครองมหาสติ

กับแสดงปณิธานแห่งนิพพาน

จนชำนาญกันแล้วรึยัง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

2-02-2019