23 ธันวาคม 2558

พืชกินสัตว์

   
  








ATTN: 
Ahchawharahyh Nirahti​i 

Question:
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

1.กรณี"พืชกินสัตว์"
เขากินเพราะเผลอติดในรสละไม่ลง
หรือเขามีกรรมอะไรถึงต้องเป็นพืช
ที่ต้องดักจับกินชีวิตผู้อื่น?

2.ในกาลข้างหน้าพืชเหล่านี้
จะต้องถูกชำระด้วยดังเช่นพี่ๆน้องๆ
ที่ยังคงเสพกินกันเองด้วยใช่หรือไม่?

3.ฤๅองค์พระบิดาท่านทรงต้องการสื่อสอนอะไร
จากสิ่งนี้แก่ลูกๆให้ได้เรียนรู้กันครับ

Answer:
1.พืชที่กินแมลงเหล่านี้
มีสมญานามว่า "สวยเพชฌฆาต" !!!!!

2.ที่พวกเขาดักจับแมลงกินเป็นอาหาร
เป็นเพราะถูกกำหนดมาให้มีพฤติการณ์อย่างนั้น

พวกเขาไม่มีปุ่มหรือกลไกใดๆ
ที่จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตเหมือนมนุษย์
ที่จะปรุงแต่งรสชาติอาหารว่าอร่อยไม่อร่อย

มนุษย์จงอย่าเอาตนเองเป็นบรรทัดฐาน
ในการพิจารณาพืชและสัตว์อื่นๆ
ที่พวกเขามิได้ใช้ "จิตสามนึก" เช่นมนุษย์
จึงนำมาเปรียบกันไม่ได้
ทั้งพืชทั้งสัตว์ล้วนใช้สัญชาตญาณ
ที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้ให้พวกเขา
เป็นในแบบที่เขาต้องเป็นทั้งสิ้น

3.สาเหตุที่ทรงกำหนดให้พวกเขา
เป็นพืชกินแมลง (สัตว์) ก็เพื่อจะให้พวกเขา
ช่วยสร้างสติทางวิญญาณแก่มวลมนุษย์
เพื่อการสื่อสอนมนุษย์ทั้งหลาย
ในพระนามแห่งพระองค์ว่า

3.1 จงอย่ามองทุกสรรพสิ่งของพระบิดา
อันหมายถึงทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่เผชิญ
ที่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
เพียงแค่เปลือกนอกที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์เท่านั้น

3.2 เพราะรูปลักษณ์ที่อายตนะมนุษย์
สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้แค่ภายนอกนั้น
ล้วนเป็น "มายา" หรือเงาของแก่นแท้
ที่อำพราง "ตัวตนแท้จริง" เอาไว้ข้างในทั้งสิ้น

3.3 การมองสรรพสิ่งอย่างรายรอบตัวท่าน
จึงจะต้องมองให้ซึ้งถึงแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน
ท่านจึงจะเข้าถึงสัจธรรม
อันเป็นความจริงของสรรพสิ่งนั้นได้

3.4 วิธีที่จะมองหาความจริงมิใช่มายาของสิ่งนั้น
จะต้องทำด้วยการปฏิบัติดังนี้

(1).ไม่ใช้จิตปรุงแต่ง ทันทีที่ได้เห็น ได้ฟัง
ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือ ได้จับสัมผัสสรรพสิ่งนั้นๆ

ให้เกิดเป็นความสวย ไม่สวย
ให้เกิดเป็นความน่าฟัง ไม่น่าฟัง
ให้เกิดเป็นความหอม ไม่หอม
ให้เกิดเป็นความอร่อย ไม่อร่อย
ให้เกิดเป็นความชอบใจ ไม่ชอบใจ

จนนำไปสู่ความอยาก ไม่อยาก
โดยเปลี่ยนจากกิเลสไปเป็นตัณหา
ที่จิตไปยึดติดกับมายาของสรรพสิ่งนั้น

(2) ต้องให้เวลาตนเอง
ในการพิจารณาค้นหาความจริงของสิ่งนั้น
ให้มากพอควรแก่เวลาที่มีอยู่
เพื่อมองหาแก่นแท้หรือความจริง

(3) ต้องใช้ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
กลไกอายตนะเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
ที่จะช่วยให้ท่านเรียนรู้ที่จะพบเจอความจริง
เพื่อจะเข้าถึงตัวตนแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้

4.ท่านต้องรู้ว่าท่านต้องสามารถ
ข้ามผ่านมายาภายนอกของทุกสรรพสิ่งไปได้เท่านั้น
ท่านจึงจะเข้าถึง "แก่นแท้" ของมันได้

5.เคล็ดลับสำคัญที่จะบอกท่านก็คือ
ท่านจะมิอาจมองด้วยตาเนื้อ
แล้วแลเห็นแก่นแท้จริงของทุกสรรพสิ่งได้เลย

เพราะพระบิดาทรงกำหนดสร้าง
อายตนะภายนอกทั้งห้าซึ่งรวมทั้งตาด้วย
เอาไว้ให้มนุษย์แห่งโลกเสรีทุกคน
ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อค้นหา "ความรู้" เท่านั้น
มิใช่เอามาใช้เพื่อค้นหา "ความจริง" หรือสัจธรรม

6.ท่านจักต้องรู้ว่า
"ความรู้" เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "อายตนะ"

ส่วน "ความจริง" นั้น
เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "จิตตปัญญา"
หรือ จิตกับสมองสองซีก ที่ทุกคนล้วนมีอยู่นั่นแหละ

โดยที่มนุษย์สามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญาได้
ด้วยการ "ฝึกคิด" ฝึกใช้ปัญญาของสมอง
ดังที่เรากำหนดให้มีการฝึกอบรม "ไซโคโชว์"
เพื่อช่วยพวกท่านที่ใฝ่นิพพาน
ให้เข้าถึงภาวะการรู้แจ้งในตนเองและสรรพสิ่งทั้งปวง
อันเป็นบันไดสู่สภาวะสุญญตาของจิตอยู่เนืองๆ

กับการหมั่นสื่อพระโอวาทด้วยวัตถุประสงค์พิเศษ
คือ ให้ความรู้และฝึกการคิดขณะรับพระโอวาท
ตลอดเวลาอันยาวนานต่อเนื่อง 4-5 ชั่วโมง
เป็นประจำทุกเดือนมิได้ขาดเว้นนั่นเอง

7.สุดท้ายสิ่งที่ท่านต้องรู้ก็คือ
ท่านจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้หรือความจริงได้
โดยไม่ไปหลงยึดติดคิดว่ามายาเป็นแก่นแท้
ก็ด้วยการที่ท่านจะต้องฝึกฝนตนเอง
ให้มองหาสิ่งที่เรียกว่า 
"คุณสมบัติแท้จริง" ของสิ่งนั้นให้พบ
โดยอย่าไปใส่ใจในมายารูปลักษณ์ของสิ่งนั้น

เช่น อย่ามองแค่สาระรูป หรือกิริยาท่าทางของเขา
แต่ให้ค้นหาสิ่งที่อยู่ในใจของเขาแทน

ด้วยการใช้ปัญญาหาวิธีที่จะล่วงรู้ให้ได้ว่า
ขณะนั้นเขาคนนั้นกำลังมี "ความจริง" อันใดอยู่ในใจ
ที่เขาปิดบังอำพรางเอาไว้
ด้วยมายาแห่งอากัปกริยาภายนอก
บ้างหรือไม่อย่างไร

ปากกับใจเขาตรงกันจริงมั้ย
หล่อนสวยเพชฌฆาตหรือเปล่า
เขาปากร้ายใจดีหรือเปล่า
หรือปากปราศรัยแต่ใจเชือดคอ เป็นต้น

8.จะรู้เท่าทันคน ท่านต้องสนที่แก่นแท้
ซึ่งเป็นนิสัยทางจิตของเขา
มิใช่ใส่ใจที่บุคลิกภาพภายนอกอย่างเดียว
เพราะมัน "หลอก" มัน "ล่อ" มัน "ลวง" กันได้
เข้าใจมั้ย?

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
23-12-2015