08 ตุลาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 08/10/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

08/10/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

สัตว์ประจำโลกกับท่านเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน
ต่างล้วนมีหน้าที่ใช้ความรักบริสุทธิ์ค้ำจุนโลก
ให้มีความสงบสมดุลในสองมิติเหมือนกัน
ทั้งมิติโลกทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
แต่ที่ต่างกันซึ่งท่านทั้งหลายจักต้องรู้ไว้ก็คือ

1.สัตว์ไม่มีความฉลาดทางปัญญาของสมองให้ใช้
มีแต่สมองก้อนเดียวเพื่อให้จิตวิญญาณได้ใช้
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์นั้นๆ
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณ
โดยใช้กระบวนการของ ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือ
เพื่อแสดงออกหรือกระทำในสองมิติเช่นกัน

2.สัตว์จึงไม่สามารถที่จะสั่นสะเทือนจิตตน
เพื่อใช้ความรักในกระบวนการขันธ์ห้า
หมุนธรรมจักรมอบความรักให้แก่พวกเดียวกัน
เพื่อที่จะแบ่งปันพลังงานความรักนั้น
ช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลในทุกสถานการณ์ได้

เพราะสมองก้อนเดียวของสัตว์
ถูกออกแบบไว้ให้ทำงานร่วมกับสัญชาตญาณ
ที่มีทั้งความรักและความก้าวร้าวเท่านั้นเอง
มิได้มีไว้ให้ใช้ความฉลาดทางปัญญาแต่อย่างใด

ดังนั้น
สัตว์จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของพวกเขา
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 ไปตามอารมณ์รู้สึก
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าผ่านอายตนะเท่านั้น

ถ้าพอใจถูกใจก็ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู
แต่ถ้าไม่พอใจหรือตกใจก็จะดุร้ายทันที
จนมนุษย์มักกล่าวกันติดปากว่า
สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้

3.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาล
จึงทรงออกแบบให้มนุษย์มีสมองสองซีก
เพื่อให้ บรรลุธรรม ใดๆได้ด้วยปัญญา
แทนการใช้สัญชาตญาณคุ้มดีคุ้มร้ายแบบสัตว์
ซึ่งไม่อาจจะบรรลุภารกิจของจิตวิญญาณได้

เพราะสมองสองซีกในมนุษย์ที่ทรงติดตั้งให้
เป็นพลังอำนาจทางปัญญาอันมหัศจรรย์
ที่จะช่วยให้ท่านบรรลุสัจธรรมได้ทั้งสองระดับ
จนสามารถใช้ตาที่สามคือ "ดวงตาแห่งปัญญา"
อ่านทุกเงื่อนไขสถานการณ์ที่เผชิญได้โปร่งแจ้ง
ชนิดที่สองตาเนื้อของท่านที่มีอยู่เข้าถึงมันไม่ได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าพวกท่านไม่ใส่ใจติดอาวุธทางปัญญา
ในการใช้สมองทั้งสองซีกที่สัตว์ไม่มีให้ใช้
ให้เกิดประสิทธิผลเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพื่อการบรรลุธรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว
การได้แต่อาศัย ความเชื่อ ตามคำแนะนำผิดๆ
ของ "คนนำทางตาบอด" อยู่อย่างเดิมนั้น
ท่านก็จะมิอาจ "บรรลุธรรม" ที่ถูกต้องแท้ได้

ก็จะได้แต่วนเวียนขึ้นๆลงๆเขาวงกต
แล้วลดเลี้ยวดั้นด้นขึ้นสู่ยอดเขาพระสุเมรุ
เวียนวนขึ้นลงไปเรื่อยๆโดยมิรู้ว่าจะถึงยอดเมื่อใด
เพราะว่าพากันดั้นด้นไปผิดทางอยู่นั่นเอง

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
ความฉลาดของสมองสองซีกนั้นท่านต้องฝึกใช้
ถ้าไม่ชำนาญในการใช้หรือใช้มันไม่เป็นแล้ว
สมองสองซีกของท่านก็จะมีไว้แค่ "คั่นหู" เท่านั้น
จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการบรรลุธรรมไม่ได้
เพราะสมองของท่านพระบิดาวางระบบไว้ว่า

สมองซีกซ้าย
ทรงออกแบบให้มนุษย์ใช้งานได้แบบ อัตโนมัติ
เพียงท่านนึกคิดเรื่องดีเรื่องชั่วหรือเรื่องอะไรๆ
สมองซีกซ้ายก็จะให้ปัญญาเพื่อคิดได้แล้ว
ซึ่งมันจะมีทั้งคิดถูก คิดผิด คิดนอกรีตนอกรอย
ยิ่งถ้าเป็นคนไม่มีหลักการและเหตุผล
เป็นคนไม่มีศีลธรรมจรรยาไม่มีระเบียบวินัยแล้ว
ความคิดที่ได้มันจะเป็นแค่ "ก้อน" มิใช่ "ผลึก"

คนที่ใช้แต่สมองซีกซ้ายเป็นประจำ
ในชีวิตจึงมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว
ทั้งทางโลกและทางธรรมเสมอ

คนพวกนี้มักจะเด่นตรงที่เป็นคน รู้มาก
ที่รู้มากเพราะเรียนมามากแล้วก็ จำเก่ง
แต่จะตกม้าตายเมื่อในชีวิตจริงของพวกเขา
ไม่ฉลาดพอที่จะนำเอาที่รู้อยู่มารับใช้ตนเองได้
อย่างเก่งก็แค่สอนแบบบ่นให้คนอื่นฟังเท่านั้น

สมองซีกขวา
เป็นปัญญาในระดับขั้นที่สูงกว่า
ถ้ายังกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายไม่เป็นไม่ชำนาญ
อย่าได้หาญกล้ามาใช้สมองซีกขวาเด็ดขาด
เพราะมันยากกว่าการใช้สมองซีกซ้ายหลายเท่า

เพราะพระบิดาทรงออกแบบไว้ให้มนุษย์
ต้องสำเร็จการศึกษาระดับประถมมัธยมก่อน
จึงจะสามารถเรียนต่อยอดสู่ขั้นมหาวิทยาลัยได้
หมายความว่าถ้าท่านยังใช้สมองซีกซ้ายไม่เป็น
โดยยังใช้สมองฟรีที่เป็นระบบอัตโนมัติอยู่
ยังไม่อาจสร้างกระบวนการในการคิดรู้
ตามที่ทรงออกแบบเอาไว้ให้อย่างได้ผลแล้ว
จิตหยาบของท่านจะยังเข้าถึงสมองซีกขวาไม่ได้

เพราะพลังอำนาจในการสั่นสะเทือนของจิต
เพื่อการกำหนดนึกสู่กระบวนการคิดของสมอง
เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จิตจะใช้ไขประตูมิติ
ในการเลือกใช้งานสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา
ซึ่งพลังจิตที่จะเปิดใช้สมองซีกขวาสูงกว่าแน่

เราจะยกตัวอย่างเรื่องจริงสักเรื่องหนึ่ง
ที่ทุกวันนี้คนนำทางตาบอด
ผู้ถนัดใช้แต่สมองซีกซ้ายเพื่อการบรรลุธรรม
จึงนำเอา "ความเชื่อ" มาชี้นำผู้หลงก้าวตาม
ด้วยหลักการและเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง
เพราะพวกเขายังใช้ปัญญาจากสมองซีกซ้าย
จนคิดเข้าใจผิดว่าปัญญาของตนนั้นขั้นอริยะแล้ว

ตัวอย่างที่เราว่านี้ก็คือ

การชักชวนพวกท่านพากันดับขันธ์ 5 ให้ได้
เพราะเชื่อด้วยปัญญาของสมองซีกซ้ายกันว่า
"ขันธ์ 5" นี่แหละที่เป็นตัวตนต้นเหตุเป็นตัวปัญหา
นำพาให้ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
ซึ่งการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมันมีแต่ "กองทุกข์"
พวกเขาเห็นว่าไม่สมควรจะมาเกิดบนโลกอย่างยิ่ง

คนนำทางตาบอดล้วนสอนกันเชื่อตามกันมาว่า
สิ่งที่เรียกว่าขันธ์ 5 นั้นเป็นตัวตน เป็นชีวิต
เพราะมีขันธ์ 5 จึงมีชีวิตจึงมีตัวตน
เพราะมีตัวตนมีชีวิตจึงยังผลให้มีความทุกข์
เช่น มีนรก มีกฎแห่งกรรม มีสังสารวัฏ เป็นต้น

ดังนั้น
พวกเขาจึงสรุปด้วยปัญญาของสมองซีกซ้ายว่า
ถ้าต้องการ "พ้นทุกข์" พวกตนจักต้อง "ดับทุกข์"
ถ้าต้องการจะดับทุกข์จึงต้องดับที่ "อัตตา"
เพราะการมีอัตตาจึงมี "ตัวทุกข์" หรือผู้ทุกข์
ถ้าดับอัตตาได้กลายเป็นอนัตตาก็จะไม่มีใครทุกข์

ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วเข้าท่า
เพราะมีหลักการและเหตุผลชัดเจนน่าเชื่อถือ
ซึ่งสมองซีกซ้ายมันถนัดการวิเคราะห์อยู่แล้ว
แต่ถ้ามนุษย์เข้าถึงการใช้สมองซีกขวาได้
ก็จะพบสัจธรรมความจริงที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าว่า
สิ่งที่ตนเชื่ออยู่นั้นมันมิใช่ สัจธรรมความจริง

1.ขันธ์ 5 เป็นกระบวนการของจิตหยาบ
ที่จะใช้สั่นสะเทือนในสองมิติเป็น 5 ขั้นตอน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักค้ำจุนโลก

ถ้ามนุษย์ไม่มีขันธ์ 5 ทำหน้าที่ร่วมกับสมอง
เมื่อกลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าภายนอก
มนุษย์จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกมิได้

ความจริงข้อนี้เป็น อนุตรธรรม

2.การพยายามจะดับขันธ์ 5
เพื่อดับอัตตาตัวตนของตนหรือตัวรู้ว่าทุกข์
เป็นความเชื่อที่ผิดทั้งหลัก "อนุตรธรรม"
เพราะขันธ์ 5 ดับเองได้เมื่อตายแล้ว
และอัตตาที่พยายามจะดับกันอยู่นั้น
คือ จิตหยาบมิใช่จิตวิญญาณแก่นแท้

นอกจากนั้น
การพยายามที่จะดับอัตตาของ "จิตหยาบ"
ยิ่งทำให้เสียเวลาในการดำเนินชีวิตไปเปล่าๆ
เพราะจิตหยาบดับเองได้เมื่อตายแล้วเช่นกัน
จิตวิญญาณแก่นแท้นั้นมิได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

การพยายามดับขันธ์ 5
เพื่อหวังจะดับอัตตาให้เหลือแต่ "อนัตตา"
ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ไม่มีอัตตาที่จะมาเกิดอีก
เป็นการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแท้แล้วนั้น
จึงเป็นความเชื่อของสมองซีกซ้ายที่ไร้มิติ
เพราะจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งจะสูญสลายหายไปไหนไม่ได้

3.ความจริงที่จริงแท้ระดับ "โลกุตรธรรม" นั้น
หากคิดได้เองด้วยกลไกสมองซีกขวา
โดยมีความรู้ขั้นพื้นฐานมาจากการฟัง
ด้วยสมองซีกซ้ายเพราะรู้เองไม่ได้แล้วว่า

ขันธ์ห้าดับเองได้เมื่อตาย
จิตหยาบดับเองได้เมื่อตาย
ไม่ต้องไปเสียเวลากดทับมันสลายมัน

จิตที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
มิใช่จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
แต่เป็นจิตหยาบที่ถูกแบ่งภาคออกมา
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น
การพยายามดับมันจึงเกาผิดที่คัน

สิ่งที่ถูกต้องกว่าก็คือ
ความทุกข์ที่พวกเขาจับมาเป็นจำเลยนั้น
ขันธ์ 5 มิได้เป็นเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แต่ความทุกข์เกิดจากการใช้ขันธ์ 5 ไม่ได้
ความทุกข์เกิดจากการใช้ขันธ์ 5 ไม่เป็น
นี่ต่างหาก คือ สาเหตุที่แท้จริง

พอไปโทษขันธ์ 5 เป็นจำเลยเข้าให้
โดยไม่โทษว่าตนไร้ความสามารถเอง
เรื่องง่ายๆก็เลยกลายเป็นเรื่องยากไปในที่สุด

วิธีการที่ถูกต้องในการบรรลุธรรม
คือ ต้องแทรกแซงกรรมจักรในขันธ์ 5 ให้ได้
โดยหมุนให้เป็น "ธรรมจักร" แทนเสีย
เพียงแค่ตัดเวทนาขันธ์แล้วใช้ความรักกับปัญญา
ในขั้นตอนของสังขารขันธ์ให้จงได้เท่านั้น
พวกท่านก็ประสบความสำเร็จแล้ว

ความสำเร็จที่หมุนธรรมจักรได้ คือ

1.จิตวิญญาณจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
2.จิตวิญญาณจะหยุดการมีสังสารวัฏได้
3.จิตหยาบจะว่างจากทุกข์คือว่างจากกิเลสตัณหา
4.จิตหยาบจะนิพพานได้ทั้งๆที่ยังไม่ตาย
5.จิตวิญญาณจะไม่ตายกายสังขารจะเป็นอมตะ
โดยจะว่างไปจากทุกข์ตลอดชีวิต

6.จิตวิญญาณพร้อมจะ "หลุดพ้น" กลับบ้าน
แดนสุญตาที่ตนจากมาอย่างแท้จริง
โดยมิได้นิพพานแบบตาลยอดด้วนตามที่เชื่อกัน

 

ใช้ขันธ์ 5 ให้เป็นก็ดับทุกข์ได้

ไม่ต้องดับอัตตาให้เป็นอนัตตา

เพราะสิ่งที่มีอัตตาก็เป็นอนัตตา

การว่างจากอัตตาอย่างง่ายที่สุด

คือการไม่ยึดติดอัตตาตัวกูของกู

แค่นี้ท่านก็หมดทุกข์กันได้แล้ว


กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8/10/2021