01 ตุลาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 01/10/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

01/10/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่เรากล่าวพระโอวาทเรื่อง ขันธ์ห้า
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลต่อพวกท่าน
ให้ได้รับรู้เพื่อ "เรียนรู้" กันอยู่อย่างต่อเนื่อง
จนบางคนได้กล่าวตามความรู้สึกของตนเองว่า
ขอขอบพระคุณที่เรานำมากล่าวซ้ำย้ำเตือนนั้น
นั่นเป็นเพราะท่าน "รับรู้แบบรวบรัด" เร็วเกินไป

การรับรู้แบบรวบรัดในสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
มันอาจจะทำให้กิจกรรม การเรียนรู้ อนุตรธรรม
ที่ลึกซึ้ง แยบยล เข้าใจยากกว่าโลกียธรรมปกติ
เกิดความขาดพร่องร่องแร่งเอาเสียง่ายๆ

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ขันธ์์ 5"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ธรรมจักร"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "กรรมจักร"
โดยไม่ยอมเข้าไปศึกษาสาระในบทเรียนชื่อซ้ำ
ว่ามันมีอะไรอยู่ในกอไผ่ที่ดูแล้วรกๆเหมือนกัน

ถ้าท่าน "แหวก" เข้าไปดูในกอไผ่อาจจะพบว่า
ไผ่บางกออาจมีตัว "อ้น" น่ารักๆขุดรูอยู่ในนั้น
อาจมี "เห็ดโคน" แสนอร่อยเร้นอยู่ในไผ่กอนั้น
เพราะเพียงแค่เชื่อว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่
มันก็ทำให้ท่านโง่ไปทันทีเพราะไม่ใช้ปัญญา
ไม่สนใจที่จะศึกษาเรียนรู้กันนั่นเอง

ดังนั้น
เมื่อได้ยินเรื่องขันธ์ 5 กรรมจักรหรือธรรมจักรซ้ำๆ
จิตหยาบของท่านจึงเกิดอาการไม่กระปรี้กระเปร่า
ต่างจากการได้รับรู้รับฟังความรู้ใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน
นานวันเข้าก็จะเกิดอาการ "เบื่อหน่าย" ไปในที่สุด

สาเหตุที่หลายท่านเกิดอาการเช่นว่านี้
ก็เพราะจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของพวกท่านนั้น
ใฝ่ที่จะเรียนรู้แต่เรื่องราวที่ตนสนใจเป็นสำคัญ
โดยอาศัย "ตัณหา" ในสังขารขันธ์ของขันธ์ 5
คือความอยากรู้อยากเห็นของตนเป็นตัวขับเคลื่อน

พวกท่านจึงขาดสติเผลอใช้หัวข้อหัวเรื่องนั้นๆ
กระตุ้นการจูงใจให้เกิดการอยากรู้อยากเรียนขึ้น
เมื่อพบว่าที่เราจะกล่าวพระโอวาทนั้นเป็นเรื่องซ้ำ
ประเภท "กูรู้แล้ว" โดยยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่า
ที่พระองค์จะทรงกล่าวให้ฟังให้เรียนรู้อยู่นั้น
เป็นสัจธรรมที่ "กูจำและทำได้แล้ว" จริงรึเปล่า
เป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งแยบยลยิ่งกว่าเก่ารึเปล่า

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ขันธ์์ 5"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ธรรมจักร"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "กรรมจักร"

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยเรียนแล้ว"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยฟังแล้ว"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยอ่านแล้ว"

พวกท่านจึงกลายเป็นคนที่ไม่ฉลาดเรียนรู้ไป
โดยพฤติกรรมการเรียนรู้ของท่านทั้งหลาย
กลายเป็นลักษณะ ด้อยประสิทธิผล มีจุดบอด
จนมิอาจยกระดับตนเองให้เป็น ปราชญ์เมธี ได้
แม้ท่านจะเป็นผู้ใฝ่รู้ดูแล้วเข้าท่าอยู่บ้างก็ตาม

พวกท่านจึงเป็นมนุษย์ประเภทรั่วหรือพร่อง
คือ ยึดติด "ครู" หรือ "ศาสดา" พระองค์เดียว
คือ ติดยึด "ตำรา" หรือ "พระคัมภีร์" เล่มเดียว
โดยเหตุผลที่ว่าทั้งครูทั้งตำราที่ตนยึดติดนั้น
ล้วนสอนในเรื่องความดีงาม ความรัก ความชั่ว
ในแนวทางแนวธรรมเหมือนๆกันทั้งนั้น
จึงตัดสินใจเลือกเชื่อเลือกที่จะฟังเพียงแค่หนึ่ง

นอกจากนั้น
ยังใช้กิเลสคือความรู้สึกในการตัดสินใจ
เลือกพระศาสดาหรือครูและพระคัมภีร์
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อ มิใช่ สติปัญญา
ทั้งๆที่ยังมิได้ลงลึกในสาระของข้อสัจธรรมนั้น
ก็ใช้ความรู้สึกว่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ
ก็ใช้ความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ
เป็นตัวชี้วัดตัดสินใจรับรู้เพื่อเรียนรู้ไปทันที

นี่จึงเป็นความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์
ทั้งๆที่พระบิดาทรงประทานสมองสองซีกให้ใช้
แต่มนุษย์กลับใช้กิเลสตัณหานำปัญญาแทน
จึงมิอาจเป็นนักปราชญ์เมธีผู้ฉลาดอันควรจะเป็น
จึงมิอาจเป็นบัณฑิตผู้รอบรู้อย่างแท้จริงได้

ตัวอย่างเช่น
การใช้ความรู้สึกส่วนตนเลือกยอมรับนับถือ
พระศาสดาที่มีพระเจ้ากับศาสดาที่ไม่มีพระเจ้า
โดยไม่ใส่ใจในสาระธรรมอันควรใส่ใจ
โดยไม่มีความรู้ในเรื่องของพระเจ้าอย่างถ่องแท้

เพราะปฏิเสธที่จะเรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร
ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนมาจากไหน
จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
จิตวิญญาณของตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

ซึ่งคำตอบทั้งหลายเหล่านี้
พระศาสดาที่เกิดจากโลกให้คำตอบท่านไม่ได้
มีแต่พระศาสดาที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
ที่จะสามารถให้ท่านเรียนรู้เพื่อหาคำตอบได้

เพราะท่านไปติดที่คำว่า พระเจ้า
ซึ่งเป็นคำที่ท่านไม่อยากรู้ ไม่สนใจ ไม่รู้จัก
เนื่องจากพวกท่านไม่เคยเรียนรู้กันมาก่อน
เนื่องจากศาสดาที่ท่านยอมรับก็ไม่เคยพูดถึง
ท่านจึงใช้ความรู้สึกนำปัญญาตัดสินใจแทน
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยว่า "พระเจ้า" เป็นใคร
ทรงสำคัญต่อตนเองโลกและจักรวาลอย่างไร
ก็พิพากษาตนเองด้วยการปฏิเสธพระองค์แล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

จงอย่าใช้นิสัยเคยชินที่ผิดพลาดในการเรียนรู้
แม้กระทั่งอนุตรธรรมสูงสุดที่มนุษย์เข้าถึงไม่ได้
อย่างเช่น เรื่องขันธ์ 5 เรื่องธรรมจักร เป็นต้น
โดยอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระโอวาทที่เราสื่อมานี้
มีแต่สัจธรรมของเก่าที่เราเอามากล่าวซ้ำเตือน
เหมือนกับว่าครูของตนสอนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว
จนยังผลให้พวกท่านขาดความกระตือรือร้น
ที่จะเข้าห้องเรียน "ป.วิสุทธิปัญญา" แห่งนี้มากขึ้น
เพราะขาด แรงจูงใจ หรือคิดว่ารู้หมดแล้วนั่นเอง

เราบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงให้ความสำคัญต่อการตัดสินใจเรียนรู้ว่า
ครูของพวกท่าน "ต้องการ" สื่อสอนอะไร
ให้มากกว่าพวกท่าน "ต้องการเรียนรู้" เรื่องอะไร
โดยเฉพาะสัจธรรมระดับอนุตรธรรมที่มนุษย์ต้องรู้
ซึ่งไม่มีครูคนไหนในโลกนี้กล่าวต่อพวกท่านได้

พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
ครูของท่านเท่านั้นที่จะรู้ว่าศิษย์ของตน
มีความรู้อะไรบ้างที่ศิษย์กำลังต้องการที่จะรู้
มีความรู้อะไรบ้างที่ศิษย์รู้ผิดๆถูกๆจนหลงทางอยู่
มีความรูัอะไรบ้างที่ศิษย์ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้

ดังนั้น
จงอย่าใช้ "ความอยากเรียนรู้" ของตน
เป็นเครื่องกำหนดบทบาทในการเรียนรู้
จงใช้ความ ต้องการจะสื่อสอนของครู
เป็นเครื่องจูงใจท่านให้สนใจการเรียนรู้แทน

ถ้าศิษย์อยากรู้ในทุกๆสิ่งที่ครูอยากสอน
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกท่านทุกคน
จักเป็นนักปราชญ์เมธีที่ฉลาดและรอบรู้
จนสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเสรีนี้
ให้มีอะไรที่ดีๆอันน่าภาคภูมิใจ

มากกว่าโลกที่เต็มไปด้วยคนอวดรู้อวดดี
มากกว่าโลกที่เต็มไปด้วยความอุตริงมงาย
มากกว่าโลกที่เต็มล้นไปด้วยคนขยะที่รกโลก

จงอย่าใช้ความอยากเรียนรู้

เป็นเครื่องกำหนดการเรียนรู้

แต่จงใช้ความต้องการ

จะสื่อสอนของครู

เป็นเครื่องจูงใจให้ท่าน

สนใจที่จะเรียนรู้แทน


กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

1/10/2021