20 กรกฎาคม 2560

พระบิดาทรงโปรดเวไนย (ภาค10)



#อภิปรัชญา
พระบิดาทรงโปรดเวไนย
*************************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงกำหนดสร้าง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ซึ่งเป็นกายหยาบ หรือ "กาย-ยา" ขึ้นมา
เพื่อให้จิตวิญญาณของท่านเข้ามาใช้
ในการทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้

โดยหน้าที่ในพันธะสัญญาทั้ง 6 ข้อ
ถ้าจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น
พวกท่านทุกคนจักต้องเข้าถึง
อำนาจสูงสุดในตนเอง
เท่าที่สามารถจะเข้าถึงได้ 3 อย่าง คือ

1.#ความฉลาดทางอารมณ์
2.#ความฉลาดทางปัญญา
3.#ความฉลาดทางสังคม

#องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ทรงมีแนวทางปฏิบัติสำหรับมนุษย์แต่ละคน
เพื่อยกระดับพลังอำนาจสูงสุดทั้งสามด้าน
รวม 2 ประการร่วมกัน คือ

1) เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตนเอง
ที่ฝรั่งเรียกว่า Learning by Doing.

2) เรียนรู้จากประสบการณ์ผ่านผู้อื่น
แบบ "ลิงเห็น ลิงทำ" ที่ฝรั่งเรียกว่า 
Monkey See Monkey Do.

ดังนั้น
ในชีวิตจริงของท่านทุกๆคน
จึงต้องเผชิญความจริงอยู่ 2 ประการคือ

#ประการแรก
มนุษย์ทุกคนต้องมีผู้อื่นเป็นครู
เพื่อการสอนให้รู้และเลียนแบบตามอย่าง
โดยมีตนเอง #เป็นครูคนแรก
ที่จะสอนตนเองว่าควรจะเรียนรู้อะไร
ไม่ควรไปเสียเวลาเรียนรู้อะไรในขณะนั้น

และมีตนเอง #เป็นครูคนสุดท้าย
ที่จะสรุปความรู้นั้นเพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน
หรือเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้ตนเองต่อไป

#ประการที่สอง
ทุกคนจึงต้องถูกทดสอบด้วยบททดสอบ
เพื่อเรียนรู้บทเรียนโลกแบบต่างๆ
ในอันที่จะยกระดับความฉลาดทั้งสามด้าน
อันเป็นพลังอำนาจสูงสุดในการเป็นมนุษย์
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในพันธะสัญญา 6
และเป้าหมายในชีวิตของท่านควบคู่กันไป

ท่านจะสังเกตได้ว่าตั้งแต่เด็กจนโต
ท่านต้องมีพ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสอนสั่ง
เพื่อให้ท่านเป็นคนฉลาดเฉลียว 
เป็นคนเก่งและเป็นคนดีศรีสังคม

ในขณะที่ตัวท่านก็ยังต้องพัฒนาตนเอง
ด้วยการเผชิญกับปัญหาทางอารมณ์
ที่บุคคลแวดล้อมรอบข้างตัวท่าน
ไม่ว่าคนที่ท่านรักหรือคนที่รักท่าน
ไม่ว่าคนที่ท่านรู้จักหรือว่าคนแปลกหน้า

พวกเขาจะพากันยื่นเงื่อนไขทั้งบวกและลบ
เพื่อใช้ทดสอบอารมณ์ของท่าน
ในยามที่ท่านพลั้งเผลออยู่เนืองๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยยกระดับความอดทน 
อดกลั้นและการให้อภัยผู้อื่นแก่ท่านนั่นเอง
จนกว่าท่านจะวางเฉยได้เมื่อถูกยั่วยุ
ซึ่งเป็นสภาวะจิตขั้นสูงสุด คือ #อุเบกขา

นอกจากนั้นพระบิดายังทรงมีพระเมตตา
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ต่ำต้อยด้อยกว่าท่าน
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ชะตากรรมย่ำแย่กว่าท่าน
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ทุกข์ยากลำบากกว่าท่าน
เข้ามาอยู่ในท่ามกลางสังคมแวดล้อมตัวท่าน
เพื่อช่วยเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้ท่าน
ได้สั่นสะเทือนจิตใจเป็นเมตตา กรุณา 
มุทิตา และ อุเบกขา ตามลำดับ

ดังนั้น
เมื่อท่านเห็นคนที่แย่กว่าท่าน
เขาคนนั้นก็เป็นดั่งครูผู้มาช่วย
ยกระดับสภาวะจิตด้านบวกให้ท่าน

ท่านจงอย่าได้ตั้งแง่รังเกียจเหยียดหยาม
หรือว่าทำเป็นมองข้ามอย่างไม่แยแสเลย
เพราะนั่นเท่ากับว่าตัวท่านนั้น
ได้ทำลายโอกาสดีๆของตัวเองไปเสียแล้ว

ขณะเดียวกัน
เมื่อท่านเห็นคนอื่นที่เขามีดีกว่าท่าน
เขาคนนั้นก็เป็นดั่งครูผู้มาช่วย
ยกระดับสภาวะจิตด้านบวกให้ท่านเช่นกัน

จงอย่าอิจฉาตาร้อนเขาถ้าเขามีสิ่งที่ดีกว่า
แต่ท่านจงร่วมแสดงความยินดีไปกับเขา
ในสิ่งที่ดีกว่าที่เขามีแต่ตัวท่านเองไม่มี

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ แผนการ
ยกระดับความฉลาดทางอารมณ์ให้ท่าน
พระองค์ยอมให้ท่านผลัดกันทดสอบอารมณ์
ด้วยการสร้างปัญหายั่วยวนกวนอารมณ์
ให้แก่กันและกันทันทีที่มีโอกาส

#แผนพัฒนาความฉลาดทางปัญญา
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้ก็เช่นกัน

นอกจากจะมีสถานศึกษาในระบบ
ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าเรียนกันแล้ว
โลกซึ่งเป็นสถานศึกษาขนาดใหญ่
ก็ยังมีกลไกปฏิบัติการช่วยเหลือท่าน
ให้ได้เผชิญปัญหาน้อยใหญ่
ภายในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ท่านฉลาดคิดตัดสินใจ

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงยอมให้ท่าน
ผลัดกันทดสอบพลังอำนาจทางปัญญา
ด้วยการผลัดกันสร้างปัญหาให้แก่กัน
เพื่อให้ท่านใช้ปัญหานั้นๆ
ยกระดับความสามารถทางปัญญา
ให้สูงขึ้นๆไปเรื่อยๆ

ดังนั้น...ท่านทั้งหลาย
จึงไม่ควรเกลียดกลัวปัญหา
จึงไม่ควรโกรธแค้นผู้สร้างปัญหา
จึงไม่ควรต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน
คนที่หยิบยื่นปัญหามาให้ท่าน
เพราะผู้คนเหล่านั้นเป็นครู
ที่พระบิดาทรงโปรดส่งมาช่วยท่าน
ให้เกิดการยกระดับทางปัญญา
จนกว่าจะถึงที่สุดนั่นเอง

ปัญหาเล็กๆน้อยๆจะช่วยเหลือท่าน
ให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์ได้น้อย

ปัญหายากและใหญ่จะช่วยเหลือท่าน
ให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์ได้มาก

หากชีวิตท่านไม่มีปัญหาใดๆเลย
ความฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
ก็จักไม่ได้รับการพัฒนาสภาวะ
ซึ่งนับว่าเกิดมาแล้วโชคร้ายแท้

หากท่านโกรธเกลียดเคียดแค้นอาฆาต
คนที่เข้ามาสร้างปัญหาชีวิตให้แก่ท่าน
โดยรักไม่ได้ให้อภัยทานก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่รู้ความจริงอย่างนี้แล้ว
ก็นับว่าเสียชาติเกิดโดยแท้

#แผนพัฒนาความฉลาดทางสังคม
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้ก็เช่นกัน
พระบิดาทรงยอมให้มนุษย์แต่ละคน
มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
เพื่อให้พวกท่านเรียนรู้ที่จะ "ยอม"
ในสิ่งสำคัญต่อการอยู่ร่วมกัน 
รวมทั้งสิ้น 3 อย่าง คือ

1.ยอมรับ (To Live)
2.ยอมรัก (To Love)
3.ยอมร่วม (To Learn)

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
เป็นสัจธรรมซึ่งรวมธรรมะสามระดับ
คือ โลกิยธรรม โลกุตรธรรม
และอนุตรธรรมเข้าไว้ด้วยกัน
สำหรับท่านที่ปรารถนาจะกลับบ้าน
คือ หลุดพ้น หรือนิพพานในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-7-2017