07 เมษายน 2559

ความรู้เรื่องเวลา



ความรู้เรื่องเวลา:
*****************
เราจะกล่าวความจริงเรื่อง "เวลา"
ต่อท่านทั้งหลายว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของมนุษย์เช่นพวกท่านทั้งหลาย 
คือ เอกองค์จิตจักรวาลพระองค์นั้น
ทรงกำหนดให้มี "กาลเวลา" ขึ้นไว้
เฉพาะแต่เวลาในมิติโลกทางกายภาพ
เป็นเพราะเหตุว่า

1.พระบิดาทรงมีพระสงค์ให้
บุตรมนุษย์ทุกคนบนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้
ได้เรียนรู้ว่า "มนุษย์ คือ คนสองมิติ"

2.คนสองมิติ คือ 
คนที่มี 2 ภาคในตนเอง
อันประกอบด้วยภาคแรก คือ
ภาคส่วนของจิตหยาบกับกายหยาบ

กับภาคที่สอง คือ 
จิตละเอียดหรือแก่นแท้
ที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ"
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์กันนี่แหละ

3.โดยทรงแยกแยะให้เห็นว่า
"กาลเวลา" ในมิติของกายหยาบนั้น
สมการของเวลาจะเป็น "เส้นตรง"
กล่าวคือจะมีทั้งจุดเริ่มต้น 
จุดที่จะต้องเคลื่อนผ่านไป 
และจะต้องมีจุดสิ้นสุดที่ดำรงอยู่
บนระนาบเดียวกัน
หรืออยู่ในมิติเดียวกันเท่านั้น

ที่สำคัญ คือ เวลาของใคร ใครคนนั้น
ต้องเป็นผู้ที่เคยดำรงอยู่ ณ จุดเริ่มต้น 
เคยดำรงอยู่ ณ จุดที่ต้องเคลื่อนผ่าน
และใครคนนั้นจักต้องกำลังดำรงอยู่ 
ณ จุดสิ้นสุดนั้นด้วย

4.นอกจากนั้น...
ขณะที่ท่านกำลังดำรงอยู่ ณ จุดปัจจุบัน
อันเป็นจุดสิ้นสุดของกาลเวลาของท่าน
ซึ่งอยู่บนเส้นตรงระนาบเดียวกันนี้

ท่านยังมี "กาลเวลา" ที่ยังมิได้ใช้ไป
หรือท่านยังมิได้เคลื่อนที่ต่อไป
จากจุดสิ้นสุดที่เป็นจุดปัจจุบัน
นั่นเป็นจุดที่ท่านทั้งหลาย
เรียกกันว่า "อนาคต" น่ะเอง

5.พระบิดาทรงกำหนดสร้างให้
กาลเวลาในมิติโลกเป็น "มายา" ดั่งว่านี้
เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของลูกๆ
โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่สำคัญ 3 เรื่อง
ดังต่อไปนี้ คือ

5.1 เพื่อให้เรียนรู้กฎหลักของจักรวาล คือ
กฎแห่งการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่ง
เพื่อการเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดกาล
ภายในเอกภพหรือจักรวาลอันไพศาลนี้

นั่นคือ ทุกสรรพสิ่ง
จักต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
โดยมีวัฏจักรหรือวงรอบการเปลี่ยนแปลง
ดังต่อไปนี้ คือ ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง
เพื่อการดำรงอยู่
เพื่อการเสื่อมสลาย
และเพื่อการสร้างใหม่หรือเกิดใหม่

นับเป็นความเหมาะสมยิ่ง
ที่จะใช้กลไกอายตนะ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เรียนรู้เรื่องของ "กาลเวลา" 
ในมิติแห่งกายหยาบ

5.2 เพื่อให้ท่านทั้งหลายเรียนรู้ว่า....

แก่นแท้ที่เป็นจิตวิญญาณของท่านนั้น
ได้จากพระองค์ข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์
มาเกิดเป็นคนสองมิติกันบนดาวโลกเสรีนี้
ใช้เวลาผ่านมา "เนิ่นนานเท่าใดแล้ว"

ถ้าใครสามารถเกิดสติทางวิญญาณได้ว่า
จากพระองค์และบ้านเกิดทางจิตวิญญาณ
มานานมากโขแล้ว

ท่านผู้นั้นก็อาจสามารถ "คิดถึงบ้าน"
อันหมายถึง "ปรารถนาจะนิพพาน"
และท่านผู้นั้นอาจสามารถ 
"รำลึกถึงพระบิดา" อันหมายถึง 
ปรารถนาจะคืนกลับไปกราบพระบาท
ซึ่งมันจะยังผลให้ท่านผู้นั้น
เกิดการสั่นสะเทือนจิตตปัญญาครั้งใหญ่
เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง
สู่มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
บนเส้นทางของ "อริยบุคค"
ผู้มีเป้าหมายเดียวกัน คือ "การหลุดพ้น"

6.ส่วนกาลเวลาในภาคของ "จิตวิญญาณ"
ด้านของตัวตนแก่นแท้
ในมิติทางพลังงานนั้น

สมการแห่งเวลามิได้เป็นเส้นตรง
โดยมีจุดเริ่มต้น จุดที่เคลื่อนผ่าน
และมีจุดสิ้นสุดหรือจุดที่เป็นปัจจุบัน
อยู่บนระนาบเดียวกันเหมือนดั่ง "กาลเวลา่" 
ในมิติโลกของกายหยาบที่กล่าวมา

เพราะกาลเวลาในมิติโลกนั้น
ใช้คุณสมบัติของการเดินทางของเส้นแสง
เป็นเครื่องเปรียบเทียบ
เนื่องจากแสงเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในมิติโลก
ที่เคลื่อนที่เดินทางได้เร็วที่สุด
ในประดาสรรพสิ่งทั้งหลาย
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ

แต่กาลเวลาในมิติทางพลังงาน
ด้านของแก่นแท้คือจิตวิญญาณนั้น
จะใช้ความเร็วในการเดินทางของแสง
มาเป็นเครื่องเปรียบเทียบอีกไม่ได้แล้ว

เพราะยังมีบางสรรพสิ่งในจักรวาลนี้
ที่มันสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไวกว่าแสง
สรรพสิ่งนั้นก็คือ รูปธรรมจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์นี่แหละ

7.ความเร็วในการเดินทางของจิตวิญญาณ
ที่เคลื่อนที่ไปในสนามพลังงานจักรวาล
ความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ

"ความเร็วแสง ที่เปลี่ยนค่าเป็น 2 เท่า
ในทุกๆวินาที...!!!"

ระยะทางจึงไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค
สำหรับจิตวิญญาณของท่านเลย

8.ดังนั้น....

พระบิดาจึงกำหนดให้ "กาลเวลา"
ในมิติจิตวิญญาณอันเป็นมิติสากล
อยู่ในรูปของ "จุด" เพียงจุดเดียวเท่านั้น

หมายความว่า
ขณะที่ท่านกำลังยืนอยู่ ณ จุดปัจจุบัน
ท่านก็กำลังยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้น
และท่านก็กำลังยืนอยู่ ณ จุดที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นกาลอดีตไปแล้วด้วยสินะ

ขณะที่อนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง
ก็ยังเป็นปัจจุบัน ณ จุดที่ท่านยืนอยู่เช่นกัน

แปลว่ากาลเวลาในมิติแห่งสากลจักรวาล
ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตแล้ว
คงมีแต่เพียงปัจจุบันเท่านั้น
เพราะอดีตก็คือปัจจุบัน
อนาคตก็คือปัจจุบัน

หากผู้ใดสามารถเข้าถึงการใช้จิตวิญญาณ
เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
แทนการใช้จิตหยาบได้แล้ว
ท่านจักเป็นผู้หยั่งรู้และล่วงรู้
ในเรื่องราวต่างๆที่เป็นอนาคตหรืออดีต
ที่ใครคนอื่นทั่วไปเขาไม่รู้ได้ไม่ยาก

มันมิได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะทำให้
ใครบางคนกลายเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์
อย่างที่บางท่านเคยคิดเลยสักนิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-4-2016