02 กรกฎาคม 2555

พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?



(((*1*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

1.วิกฤตโลก หมายถึง สภาวการณ์ที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติรูปแบบต่างๆที่แนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

2.พลังจิต หมายถึง พลังงานของจิตอันได้จากการผลิตของจิตมนุษย์ เมื่อมีการสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้นและเมื่ออยู่ในอาการสุขสงบ โดยที่พลังงานของจิตนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก กับ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ

3.พลังจิตของมนุษย์ จึงเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานที่เป็นชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกนี่เอง จะต่างกันก็ตรงที่พลังอำนาจแม่เหล็กโลกจะมีเพียงชนิดเดียวคือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก (ความรัก) เท่านั้น

4.คุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นพลังจิต จะเป็นด้านบวกหรือลบ ขึ้นกับอารมณ์รู้สึกของสภาวะจิตในขณะนั้นๆจะเป็นตัวกำกับ เช่น ถ้าสภาวะจิตสุขสงบและอารมณ์ดีพลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นเป็นบวก แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีหรือสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาและขณะมีสภาวะจิตว้าวุ่นสับสนแล้ว พลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเสมอ

5.สภาวะจิตกับอารมณ์รู้สึก ในมนุษย์แต่ละคนในทุกขณะจิตเมื่อยามตื่น ไม่ว่าในขณะนั้นๆเธอจะมีสติอยู่หรือไม่ก็ตาม ล้วนสามารถผลิตสร้างพลังจิตในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กออกมาภายนอกอยู่ตลอดเวลา วิธีการส่งคลื่นดังกล่าวนี้ออกมาภายนอกคล้ายๆกับการแผ่รังสีของพระสุริยะเทพ (Sun) นั่นเอง

(((*2*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

6.เธอทุกคน สัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น ทรายทุกเม็ด และดินทุกๆอณู ต่างก็ล้วนมีคุณสมบัติและสมรรถนะในการแสดงศักยภาพแห่งการ ผลิตสร้างพลังงานที่มีคุณสมบัติด้านบวกหรือ “ความรัก” ออกมาภายนอกรูปธรรมของตนได้ทั้งสิ้น เพราะคุณสมบัติดังว่านี้ถูกกำหนดโดยพระผู้สร้างหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งพวกเธอกล่าวพระนามว่า “องค์จิตจักรวาล” นั่นเอง

7.พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้เช่นนี้ก็เพื่อ มอบพลังอำนาจให้พวกเธอสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกให้สำเร็จดังประสงค์ เพราะทรงอนุญาตให้พวกเธอมาเกิดแล้วกำหนดหน้าที่ให้ทำโดยไม่ประทานพลังอำนาจที่จะใช้ทำหน้าที่นั้นๆย่อมไม่ได้

8.หน้าที่ของพวกเธอและทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงาน” ก็คือ การสั่นสะเทือนจิตสำนึกแห่งตน ผ่านอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตที่เป็นด้านบวก เพื่อผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเธอสามารถกระทำได้ด้วยจิตใจของเธอเอง โดยมีเพื่อนร่วมโลกทุกคน ทุกตัว และทุกสิ่ง ในทุกขณะจิตยามที่เธอตื่นอยู่จะเป็นผู้หยิบยื่นเงื่อนไขทั้งดีและร้าย ให้เธอใช้กระตุ้นสภาวะจิตของเธอให้มันสั่นสะเทือนทางด้านบวกทั้งวี่วันให้จงได้ ส่วนใครจะดีจะร้ายกับเธอนั้น มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เธอจักต้องสั่นสะเทือนจิตใจมอบความรักแก่เขาให้ได้นั่นแหละเธอ...ไม่มีเป็นอื่นเด็ดขาด!

9.พลังจิตชนิดบวกของพวกเธอนั้น เมื่อสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกเป็นการแสดงออกหรือกระทำดีต่อกันแล้ว จำนวน 1% ของผลผลิตทางพลังงานร่วมที่เกิดขึ้นในทุกวินาที คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอแต่ละคนแต่ละหมู่คณะได้มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกของเธอไปแล้ว ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเธอมิอาจล่วงรู้

10.พลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวกนี้ คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอจะต้องช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมอบให้ดาวโลกในทุกวินาที เพื่อใช้จุดคบเพลิงหรือจุดไฟให้แก่ดาวโลกของเธอเอง ด้วยสำนึกว่ามันคือ “หน้าที่ทางจิตวิญญาณ” ของสัตว์ทั้งหลายและมนุษย์ทุกคนอย่างพวกเธอนี่แหละ

11.ถ้าเธอเลือกแสดงบทบาทของผู้ครองเรือน เธอจึงต้องกระทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ผ่านการเป็นคนสองมิติและสองบทบาท สองมิติหมายถึงต้องกระทำผ่านจิตและปัญญาหรือรวมเรียกว่า “จิตสำนึก” ส่วนสองบทบาท หมายถึง การเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง และการเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน

12.การแสดงบทบาทของนักรบแห่งแสงสว่าง คือ การที่เธอจะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ ความเกียจคร้าน ความเหนื่อยล้า ความทุกข์ยาก และความท้อแท้ในชีวิต เพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาราคะอวิชชาและอุปาทานที่เธอต้องเผชิญมันอยู่รายวันนั้น เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนแห่งจิตหยาบให้เป็นหนึ่งกับใจคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเธอเองให้จงได้ เมื่อทำสำเร็จเครื่องยนต์แห่งกรรมของเธอก็จะทำการผลิตสร้างพลังจิตด้านบวก ที่จะใช้จุดคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่ดาวโลกของเธอได้ในที่สุด

ป.วิสุทธิปัญญา
2-7-12

(((*)))ไฟชำระแท้จริงหมายความว่าอย่างไร? 

ทราบแต่ว่าถ้าบาปหนักตกนรก บาปเบาลงไฟชำระ แล้วมีโอกาสไปสวรรค์ได้
(((+)))ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆนั้น ใครที่ทำผิดบาปครั้งที่เป็นมนุษย์เมื่อตายไปจิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะต้องถูกส่งไปลงนรก เพื่อไปปรับจูนจิตสำนึกทางวิญญาณที่หลงมิติหรือเสียสมดุลไป(การชำระบาป)ให้คืนกลับสู่ความสมดุล อันหมายถึงการบำบัดรักษานั่นเอง

ทุกรูปธรรมทีจะถูกชำระบาปในนรกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ เช่น ความทุกข์ทรมาน การอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุขหรือทำนองนั้น เปรียบเสมือนตกอยู่ในกองไฟฟอนนั่นแหละ เมื่อปรับสมดุลได้ดังเดิมแล้วถือว่า "ไฟชำระบาป" บรรลุผลแล้ว ก็ขึ้นมาจากนรกเพื่อมาเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสที่จะนิพพานหรือคืนกลับสวรรค์ไปกราบพระบาทพระบิดาตามปกติเหมือนคนอื่นๆต่อไป

แต่ถ้าหากมนุษย์คนใดทำกรรมหนักหนามากเหลือเกิน ก็จะตกนรกขุมที่ต่ำกว่าขั้นที่ 13 ลีกลงไปอีกจนถึงขั้นสุดท้าย คือ 16 นั่นแหละ ขั้นที่ 14-16 คือนรกโลกันต์ ลงไปแล้วกลับขึ้นมาไม่ได้อีกแล้วก็นิพพานหรือไปสวรรค์ก็ไม่ได้เสียด้วยสิ....