03 กรกฎาคม 2555

Attn.:Teerawat


Attn.:Teerawat
Q1:ในศาสนาคริสต์พวกเราถูกสอนให้สวดบทภาวนาต่างๆ เพื่ออ้อนวอนสรรเสริญและขอพรจาก พระบิดา พระบุตรและพระจิต รวมทั้งบรรดานักบุญต่างๆ แต่หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะและหนังสือของอาจารย์ ผมมีปัญหาว่า เราควรสวดเพื่อระลึกถึงความรักของพระองค์...มากกว่าขอพร ใช่มั้ยครับ?
Answer: In the Name of God @ Jesus Chryst

1.การที่คุณถูกสอนให้ทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้คุณเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ด้วยการทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาหรือพระเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา โดยใช้กุศโลบายให้คุณสรรเสริญ-ภาวนา-ขอพระพร จากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นยอดสูงสุดของสามเหลี่ยมเอาไว้ทุกลมหายใจเข้าออกเลย

2.การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อที่จะช่วยให้มนุษย์ เมื่อทิ้งกายสังขารลงไปเมื่อใด จะสามารถนำพาจิตวิญญาณตนเองคืนกลับสรวงสวรรค์ นอกระบบเอกภพ หรือแดนสุญตาที่จิตวิญญาณมนุษย์จากมาเสียนานทันที เพื่อจะได้กลับไปกราบพระบาทพระบิดาได้เลย โดยไม่ต้องแวะระหว่างทางที่ไหนให้ยุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลาไงครับ และถ้าระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา การทำชั่วย่อมไม่มี เมื่อไม่มีทำชั่วคำว่า "นรก" จึงมิพักต้องไปกล่าวถึงไว้ในศาสนาคริสต์ถูกมั้ย? ถ้าจะมีก็กล่าวเตือนแค่เพียงว่า "จะถูกไฟชำระ" ใช่มั้ยล่ะ??

3.เธอและชาวคริสต์ของเราทั้งหลาย จะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า การทำสามเหลี่ยมกับพระบิดานั้น "เรา" สอนพวกเธอให้ทำสัญลักษณ์ด้วยมือแตะตรงหน้าผากและไหล่ซ้าย-ขวา เพื่อชี้ตาที่สามของเธอกับตัวตนที่เป็นมนุษย์ของเธอเอง เป็นรหัสที่เธอจะต้องใช้ปัญญาญาณถอดความให้ได้ว่า ไหล่ซ้ายขวาคือฐานของสามเหลี่ยม ด้านหนึ่งหมายถึง "พระบุตร" และอีกด้านหนึ่ง หมายถึง "พระจิต" และหน้าผากที่ตั้งของตาที่สามหมายถึงองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดานั่นเอง ที่ผ่านมาพวกเธอทำสามเหลี่ยมแบบนี้มาตลอดและยังทำอยู่ใช่มั้ย?

4.สำหรับพระบิดาซึ่งเป็นยอดสามเหลี่ยมนั้น หมายถึงพระผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง และเป็นผู้ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณของพวกเธอมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ซึ่งก็คือพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ดังนั้น ถ้าพวกเธอเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเธอจะมีเชื้อชาติศาสนาใดหรือไม่มีศาสนา พวกเธอก็มีพระเจ้าพระองค์เดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะลืมพระเจ้าไปแล้ว เธอจะปฏิเสธพระองค์ หรือเธอจะต่อต้านพระองค์ เธอก็ยังคงมีพระองค์อยู่เช่นเดิม

5.ไหล่ซ้ายและขวาที่เธอแตะ อันเป็นฐานของสามเหลี่ยมนั้น ด้านหนึ่งหมายถึงพระบุตร คือ องค์จิตจักรวาลดวงเล็ก ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มี 11 เหลี่ยมมุม และทุกวันนี้ยังคงดำรงตนเองอยู่กับพระบิดานอกระบบเอกภพ โดยที่พระบุตรก็คือ ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของมนุษย์ที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ในแดนสุญตา จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และทรงอนุญาตให้หนึ่งรูปธรรม สามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกล่องพลังงาน 6 เหลี่ยมมุม ที่มนุษย์เรียกว่า "จิตวิญญาณ" ได้ถึง 36 รูปธรรม เพื่ออาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้ 

6.ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมี "พระบุตร" 1 รูปธรรมด้วยกันทั้งสิ้น และพระบุตร 1 รูปธรรม ก็จะสามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตวิญญาณได้เต็มที่ถึง 36 รูปธรรม (รวมทั้งตนเองด้วย) "เรา" เรียกจิตวิญญาณที่ถูกแบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละคนว่า "พระจิต"... อันเป็นรหัสของไหล่อีกด้านหนึ่งที่เธอสัมผัสนั่นเองยังคงระลึกถึงกันได้อยู่ไหม?

7.การที่ "เรา" กำหนดรหัสเช่นนี้ไว้ ก็เพื่อให้เธอทั้งหลายได้น้อมนำจิตวิญญาณของเธอสร้างความสัมพันธ์เป็นระบบสามเหลี่ยมไว้กับพระบิดา และตัวตนภาคแรกของเธอหรือ "พระบุตร" เอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา โดยอาศัยพลังงานความรักจากจิตวิญญาณของเธอเองที่สั่นสะเทือนมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์และโลกตลอดวัน กับพลังงานของความศรัทธาอย่างสุดซึ้งที่พวกเธอพึงจะมีต่อองค์พระบิดาหรือพระเจ้าของเธอเป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการปฏิสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ประหนึ่งว่าเธอมียอดเจดีย์หรือเสาอากาศสวมครอบไว้บนศีรษะเธอ ในการติดต่อสัมพันธ์กับองค์จิตจักรวาลซึ่งเธอสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ทุกที่ ทุกแห่งหน และทุกเมื่อที่เธอปรารถนา โดยไม่ต้องยุ่งยากเสียเวลาไปติดตั้งหรือสร้างเสาอากาศ สร้างเจดีย์ สร้างสัญลักษณ์ที่เป็นวัตถุใดๆขึ้นมาให้รกโลกของพระบิดาแห่งเราโดยไม่จำเป็นอีก

8.เพื่อให้พวกเธอสามารถเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ดังกล่าวมาแล้วได้จริงๆเราจึงแนะเน้นพวกเธอเสมอว่า "จงรักให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม" "จงให้อภัยเขาให้ได้ แม้ว่าเขาไม่สมควรที่เราจะให้อภัยก็ตาม" และเราสอนเธอให้รักในพระเจ้า รักในพระบิดา ทั้งนี้ก็เพื่อใช้คลื่นพลังงานความรัก ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกที่เป็นคลื่นจิตนี่เอง ทำให้สามเหลี่ยมนี้ศักดิ์สิทธิ์สมดุล ในอันที่จะช่วยให้เธอสื่อสารกับพระบิดาหรือพระเจ้าได้ และพระองค์ก็ได้ทรงเมตตาประทานพรตามที่พวกเธอจำนวนมากร้องขออยู่เสมอมาแม้จะไม่บ่อยเท่าใดนัก เนื่องจากพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกเธอรู้จักขอจากตนเองมากกว่า แต่ถ้าเป็นความรักแล้วพระองค์ทรงมีให้แก่พวกเธอเสมอมาและตลอดไป

ป.วิสุทธิปัญญา