23 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 23/08/2021

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

23/08/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

อันชีวิตที่ติดทุกข์ติดสุขนั้น
เป็นชีวิตในบริบทของคนไร้สติขาดปัญญา
เป็นวิถีชีวิตของคนที่ใช้จิตหยาบดำเนินชีวิต
เป็นการใช้ความรู้สึกในกลุ่มเวทนาขันธ์
ขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ด้วยการสั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" เป็น กรรมจักร
จนตกเป็นทาสของ กฎแห่งกรรม อยู่ซ้ำซาก

เพราะท่านทั้งหลายไม่ล่วงรู้ความจริง
ซึ่งเป็นความจริงในระดับ อนุตรธรรม
ที่องค์สัพพัญญูผู้รู้แจ้งในสามโลกก็มิอาจรู้ได้ว่า
ความทุกข์ความสุขที่ตนเองเผชิญกับมันอยู่นั้น
มันเป็นแผนการที่ จิตวิญญาณ แก่นแท้ของตน
ออกแบบวางแผนไว้ให้เป็นบททดสอบ จิตหยาบ
ใช้ยกระดับแรงสั่นสะเทือนกระบวนการของขันธ์ห้า
ให้เข้าถึงจิตวิญญาณเพื่อการเป็นมนุษย์โดยเฉพาะ

แต่เพราะคนส่วนหนึ่งเลือกวิธีปฏิบัติธรรม
ด้วยการดำเนินชีวิตแบบละทิ้ง "สังคม"
ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าตนเป็น สัตว์สังคม
จึงทำให้แผนการเรียนรู้ของจิตหยาบ
ที่จิตวิญญาณของตนวางแผนออกแบบให้มา
เกิดการบกพร่องผิดพลาดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย

กล่าวคือ
แทนที่จะไปหลงยึดติดอยู่ที่ความทุกข์ความสุข
ควรที่จะเห็นทุกข์เห็นสุขแล้วแลเห็นสัจธรรมได้
แต่ในชีวิตจริงมันกลับไม่เป็นดั่งเช่นที่ว่านี้ได้เลย
สาเหตุเพราะว่า

1.ปฏิบัติธรรมคนเดียวด้วยการปลีกวิเวก
2.ปฏิบัติธรรมด้วยการทำอายตนะภายนอกให้พิการ
คงเหลือไว้แต่อายตนะภายในคือ จิต เท่านั้น

3.ปฏิบัติธรรมโดยเน้นปฏิบัติที่จิตอย่างเดียว
แล้วละทิ้งฝ่ายเนื้อหนังเอาไว้โดยมิได้ใส่ใจ
เหมือนเป็น คนมิติเดียว ทั้งๆที่ตนเป็น คนสองมิติ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงออกแบบวางแผนให้ท่านทั้งหลาย
มีตนเองเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายเท่านั้น
โดยให้เพื่อนร่วมโลกร่วมสังคมทุกคนทุกรูปธรรม
ต่างเป็น ครูของกันและกัน ต้องพึ่งพากันและกัน
ด้วยการหยิบยื่นบททดสอบจิตสามนึกให้แก่กัน
ทั้งด้านดีและด้านร้ายทั้งยากและง่ายในทุกรูปแบบ
เพื่อให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นบทเรียนแก่กันและกัน
และช่วยยกระดับจิตตปัญญาของกันและกันด้วย

เพราะบางคนเลือกที่จะอยู่คนเดียว
เลือกที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่เพียงลำพัง
เลือกที่จะไปสวรรค์อยู่คนเดียว
โดยใช้ "จิต" ที่รู้นึกรู้คิดในมุมของตนเอง
ทำหน้าที่เป็นครูของตนอยู่คนเดียว
จึงมองเห็นแต่ความทุกข์ความสุขที่ในใจของตน
จนไม่เห็นความจริงอันหลากหลายรอบด้านได้
เพราะอายตนะภายนอกถูกปิดหมดเหมือนไม่รู้ค่า

การปฏิบัติธรรมเยี่ยงนี้
เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนอยู่คนเดียวในโลกกว้าง
จะเรียนรู้อะไรก็ได้แต่นึกเองคิดเองเออเอง
จากโจทย์ที่ตนเองนึกเองกำหนดเองทั้งนั้น
การรู้จริงเห็นจริงเพื่อรู้แจ้งเห็นแจ้งจึงย่อหย่อน
จึงรู้เห็นได้ก็แต่ทุกข์กับสุขอันน่ารังเกียจ
แทนการเห็นทุกข์แล้วเห็นธรรมอันน่าเรียนรู้ไป

ถ้าท่านทั้งหลายยังยึดติดการดำเนินชีวิตแบบวิเวก
ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงเกลียดกลัวความทุกข์
ทำไมจึงเป็นคนสองมิติไม่ได้
ทำไมปฏิบัติธรรมมานานแต่ยังนิพพานแท้ไม่ได้
ล้วนเป็นเพราะขาดปัญญากับความรอบรู้นั่นเอง

อันยาแก้ปวดลดไข้ทั้งหลายนั้นมีรสขม
นัยสำคัญของยามีให้พิจารณาอยู่ 3 มิติ คือ

1.มันคือยา
2.คุณสมบัติของยาคือลดไข้แก้ปวด
3.มายาของมันก็คือมีรสขม

เมื่อยามใดที่ท่านเจ็บปวดและมีไข้
ท่านจะทานยาตัวนั้นหรือไม่
ท่านจะไปยึดติดที่ "รสขม" ของยานั้น
แล้วปฏิเสธยานั้นหรือวางมันไว้ไม่ทานหรือเปล่า

ถ้าท่านอยากหายท่านก็จะยอมทานยาแต่โดยดี
โดยจะไม่เอาความขมของยานั้นมาเป็นเงื่อนไข
เพื่อรับเอาประโยชน์ของยานั้นเป็นสำคัญ

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้อนุตรธรรมไว้ด้วยว่า
ชีวิตประจำวันของพวกท่านน่ะ
พระบิดาได้ทรงออกแบบเอาไว้ให้ดังนี้ คือ

1.ปัญหาทั้งหลายทั้งในชีวิตและงานที่ท่านเผชิญ
ไม่ต่างจาก "ความเจ็บปวดป่วยไข้" นั่นแหละ
ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ป่วยไม่เจ็บไม่ไข้

2.เมื่อพวกท่านพบเจอปัญหาใดๆในชีวิตและงาน
นั่นแสดงว่าท่านนั้นกำลังเกิดอาการ "ป่วยไข้"
บางครั้งก็ป่วยทั้งกายและใจหรือไม่ก็ป่วยกาย
อาการป่วยไข้นี่แหละเปรียบได้กับ ความทุกข์
ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตมันเจ็บป่วย
สาเหตุของจิตที่ป่วยก็คือ จิตเผชิญกับปัญหา

ดังนั้น
ปัญหาจึงไม่ต่างจาก "เชื้อโรค" ที่เป็นเหตุให้ป่วย
ท่านจักต้องหาหยูกยามาทานให้ตรงกับเชื้อโรค
ทานยาให้ถูกขนานเพื่อจัดการกับตัวเชื้อโรคนั้น

3.สำหรับอาการเจ็บป่วยมากหรือน้อยนั้น
ก็ไม่ต่างจาก "ความทุกข์" มากน้อยเมื่อเจอปัญหา
ถ้าจิตทุกข์มากแสดงว่าท่านกำลังเผชิญปัญหายาก
ถ้าจิตทุกข์น้อยแสดงว่าปัญหาที่เผชิญนั้นไม่ยากนัก

4.สำหรับ "ความทุกข์" ในการเผชิญปัญหา
มันก็ไม่ต่างจากความขมของยานั่นเอง

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ถ้ายาทุกตัวมีอาการ "ขม" ไม่น่าทานฉันใด
ปัญหาย่อมนำพาความทุกข์มาให้ท่านได้ฉันนั้น

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า
ปัญหา ที่เผชิญแล้วเกิดทุกข์ระทมขมขื่นล่ะ
เปรียบดั่ง "ยา" ที่จำเป็นต้องมีรสขม(ขื่น) ตรงไหน
คำตอบก็คือ "ทุกปัญหา" ในชีวิตและในการทำงาน
คือยาบำบัดรักษา ความโง่ ที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้น
คือยาบำบัดรักษา ความงก ที่จะช่วยให้ใจกว้างขึ้น
โดยความโง่และความงกเป็นอาการป่วยทางจิต
ขั้นพื้นฐานของมนุษย์โลกทุกคนนั่นเอง

พระบิดาจึงทรงออกแบบให้
พวกท่านทุกคนต้องทานยาแรงบ้างอ่อนบ้าง
ด้วยการกำหนดให้เผชิญบททดสอบและบทเรียน
ในรูปของเรื่องราวเหตุการณ์และผู้คนรอบข้าง
ซึ่งเป็นปัญหาแบบต่างๆตลอดวันและตลอดชีวิต
เพื่อให้ปัญหาเป็นตัวช่วยกระตุ้นการใช้สติปัญญา
เพื่อให้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด "ความรัก"

เพราะมนุษย์ต้องสามารถใช้ปัญญาของสมองได้
ต้องสามารถใช้ความรักเพื่อให้จากจิตตนเองได้
ซึ่งเมื่อเกิดมาอายุยังน้อยๆกันอยู่นั้น
เด็กทุกคนยังรักคนอื่นไม่เป็นยังเห็นแก่ตัวกันอยู่
เด็กทุกคนยังคิดไม่เป็นยังเน้นพ่อแม่สั่งสอนอยู่
จึงไม่ต่างจากเด็กทั้งหลายยังป่วยยังต้องการยา
พระบิดาจึงกำหนดให้ท่านเจอปัญหากันมาตั้งแต่เด็ก

ที่เรากล่าวพระโอวาทพระบิดามาทั้งหมดนี้
คนที่เป็นฆราวาสผู้ไม่ขลาดหนีสังคม
จะเรียนรู้ได้ทันทีว่า
"ทุกปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา"

จะเรียนรู้ได้ทันทีว่า
ทุกคนที่ทำตนเป็นปัญหาของท่านนั้น
"คือคนไม่น่ารักที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งรัก"
ของท่านนั่นเอง

เราจึงขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
การมีชีวิตที่เจอปัญหาแล้วเกิดอาการติดทุกข์
เป็นเพราะความโง่เขลาของท่านเอง
การมีชีวิตที่เจอปัญหาแล้วพากันหนีทุกข์
เป็นเพราะความเบาปัญญาของตนเองเช่นกัน

เป็นเพราะเลือกปฏิบัติธรรมด้วยวิธีผิดธรรมชาติ
โดยไม่ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันร่วมกับผู้อื่น
จึงมิอาจเห็นประโยชน์และใช้ประโยชน์
ในการเกิดมาเป็นสัตว์สังคมตามแบบแผนได้
จนเป็นแค่ "คนมิติเดียว" แทน "คนสองมิติ" ไป
โดยเน้นแค่เอา "จิตเป็นนาย" อยู่ด้านเดียว
ซึ่งผิดหลักธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง

คนนำทางตาบอดทั้งหลายจึงเป็นตัวอย่าง
ที่ไม่สมควรเอาเยี่ยงอย่างแต่อย่างใดเลย

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/08/2021