24 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

24/08/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

อันความทุกข์ของท่านทั้งหลายนั้น
แบ่งได้เป็น 3 ทางด้วยกัน คือ

1.ทุกข์ทางกาย
เป็นความทุกข์ของฝ่ายเนื้อหนัง
เช่น ทุกข์อันเกิดจากความเจ็บปวดป่วยไข้
เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทนได้ยากหรือยากที่จะทน

วิธีที่จะดับทุกข์ที่ว่านี้ได้
ก็ต้องทานยาให้ถูกขนาน
หรือไปปรึกษาหาหมอผู้เชี่ยวชาญ
อาการเจ็บปวดป่วยไข้จึงจะหายได้

หมายความว่า
ยาที่ถูกขนานกับหมอผู้เชี่ยวชาญ
คือคำตอบที่จะช่วยให้ท่านพ้นทุกข์นั้นไปได้

ดังนั้น
ถ้ารู้วิธีจัดการปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์นี้ได้
แล้วยังจะเกลียดกลัวความทุกข์กันไปทำไม

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นทุกข์ทางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกัน
เพียงแค่ท่านรู้ตัวว่าที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่นั้น
มันเกิดจากสาเหตุใดท่านก็จัดการแก้ไขที่เหตุนั้น
เช่น หักโหมงานนั้นมากเกินกำลังก็ชะลอลงเสียบ้าง
หรือแบ่งเวลาให้ร่างกายได้ผ่อนพักเสียบ้าง
หรือหาคนอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระหนักของท่านบ้าง
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอันเป็นทุกข์ทางกาย
มันก็จะดับสลายหายไปโดยพลัน

2.ทุกข์ทางจิตหยาบ
เป็นความทุกข์ของฝ่ายจิตหยาบ
ผู้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในการเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นความทุกข์ที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง

เช่น ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น วิตกกังวล
ความเสียดาย ความเศร้าหมอง ความผิดหวัง
ความโหยหา ความอาลัยอาวรณ์ ความแหนหวง
ความขลาดกลัว ความลังเล ความหงุดหงิด
ความอิจฉาริษยา ความเบื่อหน่าย ความชิงชัง
ความรังเกียจ ความหมิ่นหยาม ความอาฆาตพยาบาท
ความงมงาย ลุ่มหลง ความมักใหญ่ใฝ่สูง
ฯลฯ

อาการทางจิตทั้งหมดโดยสังเขปเหล่านี้
เป็นตัวอย่างของความทุกข์ทางจิตหยาบทั้งสิ้น
ซึ่งความทุกข์ที่เกิดจากจิตหยาบเหล่านี้
ล้วนเป็นจิตหยาบของตนก่อมันขึ้นมาเองทั้งนั้น

ตัวอย่างเช่น
เมื่อถูกคนรอบข้างบางคนกดดันด้วยการ "ยั่วยุ"
ท่านก็จะเกิดอาการ "จิตตก-สติแตก" โดยพลัน
จิตหยาบก็จะเกิดอาการ "โกรธ" ไม่พอใจทันที
ความโกรธความไม่พอใจนี่แหละเป็นทุกข์ทางจิต
ถ้าโกรธจัดก็ทุกข์หนักไม่โกรธมากก็ทุกข์น้อย

วิธีที่จะดับทุกข์ในกรณีนี้ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น
ท่านจักต้องจัดการดับมันที่จิตของท่านเอง
ไม่ต่างจาก คันตรงไหนก็เกามันที่ตรงนั้น เลย

เมื่อรับรู้ว่าท่านกำลังถูกยั่วยุให้จิตตกสติแตก
อันเป็นเส้นทางแห่งทุกข์ที่ท่านไม่พึงประสงค์อยู่
ท่านก็ต้องจัดการคุ้มครองป้องกันจิตไว้ให้มั่นคง
โดยไม่หลงรับเอาการยั่วยุของเขามาเป็นเงื่อนไข
ที่จะเป็นเหตุให้จิตหยาบสั่นไหวหรือสั่นคลอน

ถ้าท่าน รับรู้แล้วไม่รับเอา การยั่วยุนั้น
ความโกรธเคืองจากอาการจิตตกสติแตก
ซึ่งเป็นความทุกข์ตัวสำคัญมันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น

แต่ในชีวิตจริงของพวกท่านนั้น
เมื่อถูกยั่วยุจากคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวเมื่อไหร่
พวกท่านมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ทางจิตหยาบมากขึ้น
เพราะพวกท่านจัดการกับความทุกข์นั้นไม่เป็น

โดยแทนที่จะจัดการที่จิตหยาบตนเองให้มันสงบไว้
แต่พวกท่านนิยมใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งบ้าง
ใช้วิธีขิงก็ราข่าก็แรง คือ "แรงมา-แรงไป"
เพื่อจะให้เขาหยุดยั่วยุตนจะได้ไม่จิตตกสติแตก
ตนจะได้ไม่เกิดความทุกข์คือความโกรธนั่นเอง
ทั้งๆที่ในยามมีสติก็รู้ว่า "จัดการที่ตนเอง" ง่ายกว่า
แต่พอถึงเวลาเผชิญเหตุการณ์จริงเข้าก็ล้มเหลว

ดังนั้น
ถ้าท่านรู้วิธีจัดการปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์นี้ได้
แล้วท่านยังจะเกลียดกลัวความทุกข์กันไปทำไม

3.ความทุกข์ทางโลก
เป็นความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว
เหตุการณ์ สถานการณ์ และคนรอบข้าง
ที่ท่านต้องรับผิดชอบต้องดำเนินการต้องบริหาร
ให้บรรลุผลสำเร็จตามแผนการที่วางไว้
ให้สามารถดำเนินการก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น

แน่นอนว่าสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ก็คือ
อุปสรรคและปัญหาที่ต้องแก้ไขหรือตัดสินใจ
ให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงามโดยไม่ผิดพลาด

ปัญหาหลักๆโดยรวมก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับคน
และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานนั่นเอง
ซึ่งทุกปัญหาล้วนเป็นเหตุแห่งทุกข์ทางจิตทั้งสิ้น
แต่ปัญหาทางโลกทั้งหลายถ้าท่านรู้วิธีจัดการมัน
ไม่ว่าจะแสนยากแค่ไหนก็มีทางแก้ไขได้เสมอ
นอกจากท่านจะเป็นคนขลาดกลัวปัญหา
เป็นคนไม่กล้าริเริ่มลงมือทำเพราะกลัวล้มเหลว
หรือเป็นเพราะไม่กล้ารับผิดชอบถ้าทำแล้วมีปัญหา

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ไม่มีใครในระบบโลกนี้ที่เกิดมาแล้วไม่มีปัญหา
ไม่มีปัญหาใดในโลกนี้ที่เป็นปัญหาโลกแตก
เพราะเป็นปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้
เพราะทุกปัญหาในชีวิตและงานของพวกท่าน
ถูกออกแบบวางแผนไว้ช่วยให้ท่านฉลาดขึ้น
โดยให้ฉลาดคิดด้วยปัญญาของสมองสองซีก
เพื่อที่จะรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ถ้าท่านปลีกหนีสังคม หลบหนีปัญหา
เพราะเกลียดทุกข์กลัวทุกข์จากคนรอบข้าง
ท่านก็จะไม่รู้ว่าจะยกระดับจิตตปัญญาได้อย่างไร
เพราะไม่มีใครสร้างเงื่อนไขด้วยการยื่นปัญหาให้
จึงได้แต่เรียนเองรู้เองเออเองแบบผิดๆถูกๆ
เพราะไม่ยอมให้เพื่อนมนุษย์ในสังคมช่วยเป็นครู
ด้วยการหยิบยื่นปัญหาเป็นเงื่อนไขบวกลบมาให้

ตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
พวกท่านหลับตาเดินตามคนนำทางตาบอด
ที่พาท่านเดินไปในท่ามกลางความมืดมิด
จนหลงทาง หลงทำ และหลงธรรมกันมานาน
พระบิดาทรงบัญชาให้เรานำเอาแสงสว่างมาให้
ก็จงรีบ "ลืมตา" กันเถิดเพื่อจะแลเห็นแสงสว่าง
ท่านใดมีหูก็น่าจะรับฟังกันไว้ด้วย
เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

จงลืมตากันเถิด

จะได้แลเห็นแสงสว่าง

โครมีหูก็จงรับฟังไว้

เวลาเหลือน้อยแล้ว


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/08/2021