16 มิถุนายน 2558

การยึดติด


นักเรียนที่รักทั้งหลาย
ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด
มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่
จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้
อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะระงับยับยั้ง
มิให้มันก่อกำเนิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้อีกด้วย
แม้จะฝึกครองสติกันอย่างหนักมาแล้วก็ตาม

สองคำตอบ....สั้นๆง่ายๆก็คือ
เป็นเพราะพวกท่านไปหลงเงามายาของสรรพสิ่ง
กับการหลงยึดติด "อัตตา" ตัวตนของสรรพสิ่งเข้าให้

เมื่อท่านหลงในเงามายาของสรรพสิ่งใด
ก็จะก่อให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาในสภาวะจิตทันที
เมื่อท่านไปยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์ใดเข้า
ตัวกิเลสตัณหาก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้เช่นกัน

การหลงเงามายาของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มักเกิดจากการที่ท่านเข้าใจผิดคิดว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง
ที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่นั้น
ล้วนเป็นตัวตนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันนั่นเอง

ทั้งๆที่แท้แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในต่างหาก
ตัวตนที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันอยู่นั้นน่ะ
มันคือ "ตัวปลอม" มิใช่ตัวตนที่แท้จริงใดๆ

ตัวอย่างเช่น....
เมื่อท่านพบเห็นเพื่อนมนุษย์รูปสวยรูปหล่อ
ท่านก็มักจะไปหลงใหลในรูปลักษณ์นั้น
จนเกิดความชอบไม่ชอบเข้าให้
จนเกิดความอยากได้ใคร่มี
หรือเกิดความรู้สึกว่าตนไม่อยากคบหาขึ้นมา เป็นต้น

ทั้งๆที่ความสวยหรือหล่อ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้นๆ
เป็นแค่เพียงมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของแก่นแท้
ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยจิตวิญญาณ
ของคนๆนั้นเป็นสำคัญ

โดยจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในแต่ละคน
จะเป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงาน
ที่ต้องอาศัยเปลือกนอกซึ่งเป็นมายาทางกายภาพ
ทำการห่อหุ้มตนเองไว้
ในขณะดำรงความเป็นสรรพสิ่งหนึ่งอยู่นั่นเอง

สรรพสิ่งอื่นๆในระบบโลกก็ล้วนมีเปลือกนอก
ที่มีแก่นแท้เป็นพลังงานด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าพวกท่านจะจัดให้สรรพสิ่งนั้น
มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม

ในเมื่อตัวตนรูปลักษณ์ภายนอก
เป็นแค่เพียงเปลือกนอก
หรือเป็น "เงา" ของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในแล้ว
สรรพสิ่งต่างๆที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นมัน
จึงเป็นได้แค่เพียง "มายา" เท่านั้นเอง

ไม่ต่างจากคำว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
ซึ่งหมายถึงจิตจะเป็นผู้สั่งการให้
อวัยวะร่างกายภายนอก
สั่นสะเทือนไปตามความต้องการของจิต
พฤติกรรมหรืออาการใดๆที่เกิดขึ้น
มันจึงเป็นเงาของจิตหรือแก่นแท้นั่นแหละ

หากท่านได้รู้ดั่งนี้แล้วว่า
อะไรๆที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ในมิติโลกทางกายภาพ
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตอีกหนึ่งนั้น
มันล้วนเป็นเงามายาของแก่นแท้
มิใช่ตัวตนที่แท้จริงที่ท่านจะไปยึดติดอะไรได้

ได้เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้ลิ้มรสสักแต่ว่ารู้รส
ได้กลิ่นสักแต่ว่ารู้กลิ่น

ได้จับสัมผัสก็สักแต่ว่า
รู้ร้อนรู้หนาว รู้นิ่มรู้แข็ง 

แม้จะเข้าถึงได้เพียงเท่านี้
ท่านก็จะไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะรายวัน
เพราะไปหลงยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ที่เป็นมายาของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเข้าให้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015