25 พฤษภาคม 2558

โครงสร้างทางจิต


มนุษย์เป็นคน 2 มิติ
คือ มิติทางกายภาพของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นตัวตนด้านกายหยาบหรือกายสังขาร
กับมิติทางพลังงานของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นด้านของกายละเอียดที่เป็นตัวตนแก่นแท้

แต่จะมีใครรู้ความจริงได้ว่า
ในมิติทางพลังงานด้านของตัวตนแก่นแท้นั้น
ก็มีโครงสร้างของจิตที่ละเอียดซับซ้อนเช่นกัน
โดยสิ่งที่เรียกว่า "จิต" นั้น
จะเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ผู้คอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนอวัยวะร่างกายให้ตื่นตัว
เพื่อทำหน้าที่นั้นๆร่วมกันอย่างเป็นระบบ
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกรวมๆว่า "มีชีวิต"
โดยจิตจะแบ่งหน้าที่กันทำรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม

ดังนั้น...
หากจะกล่าวไว้พอเป็นสังเขปแล้ว
สามารถแบ่งจิตมนุษย์ตามบทบาทหน้าที่ได้ 6 อย่าง คือ

1.จิตสัญชาตญาณ:

เป็นคลื่นการคิดรู้ของจิตวิญญาณของท่าน
ที่สั่นสะเทือนร่วมกันกับก้านสมองตรงท้ายทอย

เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้แคล้วคลาด ปลอดภัย มีชีวิตรอด
จากสถานการณ์วิกฤตต่างๆในชีวิตประจำวัน
ให้รู้ร้อน รู้หนาว รู้เหนื่อย รู้กล้า รู้กลัว ฯลฯ

อีกทั้งยังคอยทำหน้าที่เตือนให้ท่านดูแลตนเอง
เมื่อถึงเวลาหิว กระหาย ได้เวลาพักผ่อน นอนหลับ
และอื่นๆ เป็นต้น

จิตสัญชาตญาณที่ว่านี้
เป็นความฉลาดทางจิตวิญญาณ
ในระบบอัตโนมัติ
ซึ่งเจ้าตัวจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลย
ทุกคนสามารถใช้มันได้และใช้อยู่
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จนกระทั่งคลอด
ตราบกระทั่งวันตายเลยทีเดียว

2.จิตไร้สำนึก:

เป็นการสั่นสะเทือนของจิตมนุษย์
ที่ไหลไปตามอำนาจของสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายใน
ซึ่งกระทำผ่านกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
และสั่นไหวไปตามสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นในจิตเอง

โดยเมื่อจิตเกิดการสั่นไหวไปตามสิ่งเร้าแล้ว
จิตก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า "ความรู้สึก"
ซึ่งเป็นได้ทั้งด้านบวกด้านลบ
ต่อทั้งสิ่งนั้น คนนั้น และตนเอง

จากนั้นจิตก็จะนำเอาความรู้สึกบวกหรือลบที่เกิดขึ้นนั้น
มาปรุงแต่งเป็นความอยากไม่อยาก
เพื่อทำให้ความรู้สึกดังกล่าวนั้นเป็นรูปธรรม
ที่จิตสามารถยึดได้ครองได้ปฏิเสธได้

หรือนำไปสู่การนึกด้วยจิต
ในรูปของการนึกบวกนึกลบ
ไปตามอำนาจของความอยากไม่อยาก
ที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกด้านบวกด้านลบแต่แรกนั้น

เมื่อนึกบวกจิตก็จะไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดบวก
ถ้านึกลบจิตก็จะไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดลบ
เพื่อกระทำตอบสนองด้วยกายกรรม วจีกรรม
ในแบบที่สมองจะสั่งการต่อไป

มนุษย์โลกส่วนใหญ่
ที่ตกเป็นทาสอารมณ์รู้สึกของตนเอง
เพราะตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้น
จะคิดบวกคิดลบเพื่อกระทำบวกกระทำลบ
ไปตามอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นสำคัญ
จึงไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่รู้ไหนควรไม่ควร
ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เป็นต้น

คนจำพวกที่ใช้จิตไร้สำนึกดำเนินชีวิต
จึงต้องใช้ "มหาสติ" เป็นเครื่องค้ำจุนจิตตนไว้

3.จิตรู้สำนึก หรือ จิตสำนึก:

เป็นการสั่นสะเทือนของจิตมนุษย์
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นและสนองตอบสิ่งเร้าใดๆ
ด้วยการกำหนดเอง
โดยมิปล่อยให้มันไหลไปตามอารมณ์รู้สึกที่เกิดขึ้น
แต่ใช้มหาสติเป็นเครื่องมือค้ำจุนไว้

มนุษย์ใช้จิตสำนึก หรือ จิตตปัญญาของตน
เพื่อใช้ความฉลาดทางสมองสองซีกที่มีอยู่
เรียนรู้สิ่งนั้นเรื่องนั้นคนนั้นหรือสถานการณ์นั้น
ก่อนที่จะคิดตรึกตรองเพื่อการตัดสินใจ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้งหลายนั้น
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมดีงามในบั้นปลาย

คนที่เรียกตนเองว่ามนุษย์
จึงควรใช้จิตสำนึกให้ได้
ใช้มันให้เป็น......
ให้สมกับที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
นั่นคือ ใช้สมองคิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
โดยไม่ใช้จิตไร้สำนึก คือ อารมณ์รู้สึก
เป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมใดๆ

4.จิตใต้สำนึก:

จิตใต้สำนึกในความเป็นมนุษย์นั้น
แท้แล้วเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ในการสั่นสะเทือนกายหยาบให้ทำงาน
และยังเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดผลกรรมใดๆ
ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตสำนึก
และจิตไร้สำนึกของท่านทั้งหลายด้วย

การสื่อสารทางจิตระหว่างกัน
หากท่านไม่มีพลังจิตใต้สำนึกก็จะไม่สามารถทำได้

การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมด้านลบด้านบวก
ในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลายนั้น

ผลกรรมในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณ
มันเกิดมีขึ้นมาได้ก็เพราะพลังอำนาจ
ของจิตใต้สำนึกนี่เอง

ดังนั้น...อาจกล่าวได้ว่า
จิตใต้สำนึก คือ เครื่องมือของจิตสำนึกหรือจิตมนุษย์
ในอันที่จะก่อให้เกิดผลกรรมทางพลังงาน
ในมิติคู่ขนานด้านของจิตวิญญาณแก่นแท้นั่นเอง

เนื่องจากจิตใต้สำนึกมีคุณสมบัติสำคัญคือ
คิดเองไม่เป็น เห็นเองไม่ได้ สงสัยไม่มี
เมื่อจิตมนุษย์สั่นสะเทือนด้านบวกหรือด้านลบ
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนไปตามนั้นเสมอ

5.จิตหยาบ:

จิตหยาบ คือ จิตมนุษย์
เป็นรูปธรรมทางพลังงานเช่นกัน
ซึ่งท่านสามารถสั่นสะเทือนเป็น
จิตไร้สำนึกหรือจิตรู้สำนึกก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านมี "มหาสติ"
คอยกำกับควบคุมจิตตนเองอยู่หรือเปล่า

จิตหยาบเป็นจิตที่ได้รับมอบอำนาจจากแก่นแท้
ที่ท่านเรียกกันว่าจิตวิญญาณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เช่นท่านนั่นแหละ
เพื่อแสดงความมีชีวิตและแสดงบทบาทมนุษย์
ตามเงื่อนไขพันธะสัญญา 6 ของจิตวิญญาณ
ให้เกิดขึ้นทั้งสองมิติในนามของตนเอง

หลักๆคือ การรักให้ได้ ให้ให้เป็น
ใช้จิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์ให้ได้
เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของตนให้สำเร็จ
ด้วยการผ่านบททดสอบจิตสำนึกรายวันให้ได้

จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ตั้งอยู่ที่ต่อมไพเนียล หรือ ตาที่สามนั่นเอง

6.จิตวิญญาณ:

เป็นตัวตนแก่นแท้ในมิติทางพลังงาน
ของตัวท่านเองนั่นแหละ

ซึ่งเราเคยบอกท่านว่า
จิตวิญญาณท่านเป็นผู้ขันอาสา
มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
ด้วยเงื่อนไขไม่เกิน 6 หมื่นปีโลกต่อหนึ่งยุค

แล้วท่านต่างก็ล้วนมีหน้าที่
จะต้องนำพาแก่นแท้ของท่าน
กลับบ้านที่จากมาแสนนานให้จงได้

โดยจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือน
ของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะตั้งอยู่ที่ต่อมพิทูอิทารี่

**นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้อีกบทหนึ่ง
ซึ่งองค์จิตจักรวาลทรงมีพระเมตตา
ให้เรานำมากล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้
เพื่อเป็นพระคัมภีร์คู่โลกนี้ตลอดไป

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015