10 พฤศจิกายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/11/2021

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

10/11/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์จิตจักรวาล ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
ที่ท่านทั้งหลายรวมเรียกกันว่า ธรรมชาติ นั้น

พระองค์ได้ทรงออกแบบให้ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ
แฝงเร้น สัจธรรม หรือ "ข้อธรรมะ" เอาไว้มากมาย
เพื่อให้ท่านทั้งหลายผู้มีภูมิปัญญาระดับหนึ่งแล้ว
สามารถ แลเห็นธรรมในธรรม ที่ทรงแฝงเร้นนั้นได้
ด้วยความฉลาดทางสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
และสามารถสังเคราะห์สัจธรรมที่ได้ไปใช้ปฏิบัติจริง
ในชีวิตประจำวันอย่างคนชอบธรรม

ดังนั้น
ผู้ปฏิบัติธรรมจึงหมายถึงผู้เข้าถึงสัจธรรมความจริง
ที่เรียนรู้ได้จากการเข้าถึงความจริงนั้นในธรรมชาติ
ซึ่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงออกแบบสร้างแฝงเอาไว้อย่างแยบยลนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์บุตรรักแห่งพระองค์ทุกคนนั้น
ต้องมีหน้าที่ยกระดับสติปัญญาพัฒนาจิตสามนึก
ฝึกทักษะการใช้อายตนะและปัญญาของสมอง
ฝึกทักษะการใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักรตอบสนอง
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้าทั้งหลายได้

ตาจะต้องฉลาดมองดู
หูต้องฉลาดที่จะรับฟัง
จมูกจะต้องไวและฉลาดดม
ลิ้นจะต้องฉลาดรับรู้รสชาติ
เมื่อสัมผัสกายจะต้องฉลาดรู้หนาวร้อน

ทั้งหมดนี้เป็น สภาวะธรรม ของกลไกอายตนะ
ที่พระบิดาทรงมอบให้จิตวิญญาณใช้เรียนรู้โลก
โดยมอบอำนาจให้ "จิตหยาบ" เรียนรู้แทนตนเอง
ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ
เพื่อให้เรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร ทำไม อย่างไร"

นอกจากนั้น
พวกท่านยังต้องเรียนรู้ที่จะใช้จิตหยาบ
ทำงานร่วมกันกับสมองทั้งสองซีก
เมื่อผ่านขั้นตอนการรับรู้เพื่อเรียนรู้ได้ด้วย

ท่านจึงต้องฉลาดใช้กลไกอายตนะ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสรรพสิ่งรายรอบตนเอง
มิใช่การพยายามทำให้มันมืดบอดหรือไม่ฝึกใช้มัน

ท่านจึงต้องฉลาดใช้จิตหยาบของท่าน
เมื่อรับรู้ข้อมูลจากกลไกอายตนะทั้งห้าแล้ว
ต้อง "รับรู้เพื่อเรียนรู้" แทนการ "รับเอา" เท่านั้น
เพราะการรับรู้แล้วรับเอาเวทนาขันธ์ก็จะก่อกิเลส
เมื่อจิตเกิดกิเลสสิ่งเร้านั้นก็จะเกิดมี "อัตตา" ขึ้น
แม้ว่าสิ่งเร้านั้นมันเป็นเพียงแค่นามธรรมก็ตาม

เมื่อสิ่งเร้านั้นเกิดมีอัตตาขึ้นมา
เพราะกิเลสในเวทนาขันธ์เป็นต้นเหตุ
จิตหยาบในกลุ่มสังขารขันธ์ก็จะทำงานต่อ
โดยมันจะปรุงแต่งกิเลสให้เกิดเป็นตัณหาทันที
เพราะจิตหยาบของท่านมันเกิดการ "ยึดติด"
ในอัตตาตัวตนของสิ่งเร้านั้นเข้าให้แล้ว

ท่านจึงต้องมี ธรรมชาติสมาธิ
ที่พระบิดาทรงเรียกว่า มหาสติ ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเป็นสมาธิที่ไม่ต้องปลีกวิเวกไม่ต้องปิดอายตนะ
สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ตามปกติ
มีกลไกอายตนะที่เปิดกว้างตลอดเวลา
มีจิตปัญญาที่พร้อมเรียนรู้โลกตามความจริง
ไม่ต้องพยายามจะดับขันธ์ 5 ไม่ต้องหนีสังคม
เพื่อวิ่งหนีสิ่งเร้าที่จะมากระทบจิตหยาบ
ทำให้จิตตกจนเกิดความทุกข์ลำเค็ญขึ้นมาได้

ถ้ามนุษย์ทั้งหลายรู้จักเปิดอายตนะมองโลก
และมีพลังอำนาจทางปัญญามากพอ
ก็จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมในธรรมชาติได้เอง
โดยไม่ต้องหลับหูหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
จนพากันหลงทางกลับบ้านมายาวนานถึงป่านนี้

เพราะพวกท่านล้วนเชื่อในสิ่งที่ "ชอบ"
มิได้เชื่อในสิ่งที่ตนพิสูจน์แล้วว่า "ใช่"

เพราะท่าน "เชื่อ" ตามคนจำนวนมากที่เขาเชื่อ
ที่ท่านเชื่อเพราะเห็นว่าคนเขาเชื่อกันมายาวนาน
ทั้งๆที่คนจำนวนมากกับระยะเวลาอันยาวนานนั้น
มันมิใช่ตัวชี้วัดความจริงของสิ่งที่จะเชื่อนั้นเลย

คงต้องถามตนเองกันหน่อยแล้วล่ะว่า
ทุกท่านมีสมองมีสติปัญญากันอยู่แต่ทำไมไม่ใช้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/11/2021