#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อท่านทั้งหลายได้เรียนรู้มาแล้วว่า
การหลุดพ้น
คือ อะไร อย่างไร
ใคร คือ
ผู้หลุดพ้น
และทำไมจึงต้องหลุดพ้นกันมาแล้ว
โดยต้องพร้อมที่จะหลุดพ้นออกไปได้
ภายในกำหนดเวลาก่อน
56 วัน 8 ราตรี
ที่ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่และเงื่อนไขสำคัญยิ่ง
ที่เราจำเป็นต้องนำมาบอกกล่าวต่อท่านไว้
ซึ่งคาบเวลา
56 วัน 8 ราตรีดังกล่าวนี้
ไม่มีผู้ใดสามารถจะบอกท่านล่วงหน้าได้
ว่ามันจะเดินทางมาถึงพวกท่านเมื่อไหร่
เพราะเหตุว่า
ในคาบเวลาดังกล่าวนี้
ดาวเคราะห์โลกทั้งดวงจะมืดมิดทุกด้าน
ทั่วทั้งโลกจะเกิดมหันตภัยพิบัติพร้อมกัน
เพราะจะเป็นการสั่นสะเทือนด้านลบ
ทั้งมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
ที่จะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเกินใครคาดคิด
ซึ่งจะเกิดเป็นเหตุการณ์ร้ายสุดช่วงสุดท้ายนี้
เมื่อปฏิบัติการชำระโลกในทุกด้านทุกพิกัด
ที่กำลังทะยอยดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้
ครบถ้วนตามแผนที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงเดินทางกลับมาสู่ระบบโลกอีกครั้ง
เพื่อจะเข้ามานำพาท่านทั้งหลาย
หลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้
เพื่อกลับคืนบ้านเกิดของจิตวิญญาณ
ยังแดนสุญตาที่อยู่นอกระบบเอกภพ
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่ยอมรับสัจธรรมความจริง
ในระดับอนุตรธรรมทั้งหมดที่เรากล่าวมา
อันเป็นสัจธรรมความจริง
ที่พระศาสดาพระองค์อื่นมิได้ทรงกล่าวไว้
เช่น
ไม่ยอมรับที่มาของตนเอง
ไม่ยอมรับพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
ไม่มีสัจจะที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดาว่า
จะปฏิบัติตามพันธะสัญญา
6 ประการ
ด้วยการหมุนธรรมจักรในตนเองให้เคร่งครัด
ขณะได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้
ท่านทั้งหลายก็จักมิอาจ
"หลุดพ้น"
กลับออกไปจากระบบเอกภพได้
ท่านจักเป็นจิตวิญญาณพวกที่ติดอยู่กับโลก
เป็นจิตวิญญาณที่ติดแน่นอยู่กับเอกภพ
เป็นพระจิตพวกที่ติดแน่นจนเรา
"แกะ" ไม่ออก
ซึ่งจิตวิญญาณที่เรา
"แกะ" ไม่ออกดังว่านี้
จะมีจำนวนมากกว่าที่เรา
"แกะ" สำเร็จ
แล้วนำพาเข้าประตูคอกกลับบ้านได้
ด้วยเหตุนี้แหละพี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจึงเปรียบพวกท่าน
ผู้มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ว่า
#ลูกแกะของพระเจ้า
อันหมายถึง
"ลูก" ที่พ่อต้องใช้ให้เรากลับมา
ทำการ "แกะ"
ให้หลุดออกจากอนันตจักรวาล
เพื่อกลับบ้านไปกราบพระบาทพระองค์นั่นเอง
สาเหตุที่เราถึงขั้นต้อง
"แกะ" ต้องแงะ
เพื่อพาพวกท่านกลับบ้านในสภาวะ
"หลุดพ้น"
ก็เพราะว่า
1. ท่านเข้าถึงการเป็นคนสองมิติไม่ได้
พวกท่านส่วนใหญ่จึงทำตนเป็นคนมิติเดียว
โดยยึดเอากลไกอายตนะทั้งหกเป็นหลัก
ด้วยการเชื่อในสิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นและรู้สึก
ประเภทสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนั่นแหละ
เมื่อมีนิสัยการมองโลกเป็นแบบนี้
ผ่านมาหลายๆภพชาติเข้า
อาการหลงมิติของจิตวิญญาณจึงเกิดขึ้น
นั่นคือ
การหลงมิติแห่งมายาว่าเป็น #แก่นแท้
ตัวอย่างเช่น
การให้ราคาเพชรนิลจินดาว่ามีค่ามาก
จึงซื้อขายกันด้วยราคาอันแสนแพง
จึงเสียใจเสียดายถ้ามันเกิดชำรุดเสียหาย
จึงโกรธมากมายถ้าใครปล้นหรือลักขโมยไป
ทั้งๆที่เพชรนิลจินดาเหล่านั้น
เป็นแค่ตัวแทนของบางสิ่งที่เร้นอยู่ข้างใน
ตัวแทนของบางสิ่งที่เร้นอยู่ข้างในก็คือ
คุณสมบัติทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้
ของเพชรนิลจินดาเหล่านั้น
คุณสมบัติทางพลังงานของแก่นแท้นั้นๆ
ก็คือรูปทรง
สีสัน และ อื่นๆ
ที่กลไกอายตนะภายนอกของท่าน
สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้นั่นเอง
โดยที่มายารูปลักษณ์ภายนอก
ซึ่งเกิดจากคุณสมบัติทางพลังงานที่อยู่ภายใน
จะเปลี่ยนไปตามคุณสมบัติของแก่นแท้เสมอ
เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่
ต่างหลงในมายาเพราะคิดว่าเป็นแก่นแท้
จึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสตัณหาราคะ
เข้าครอบงำจิตใจดั่งเกิดสนิมในเนื้อเหล็ก
จนมิอาจเข้าถึงอำนาจทางจิตวิญญาณได้
จิตวิญญาณของผู้คนเหล่านี้
จึงเป็น
"ลูก" ของพระบิดา
ที่เราต้องกลับมาช่วย
"แกะ" ให้หลุดออก
2.
ท่านพากันหลงยึดติดในอัตตา
ที่คนทั่วไปกล่าวกันว่า
"ตัวกูของกู"
เมื่อยึดติดตัวกูของกูจิตพวกท่านก็มีปัญหาอีก
นั่นคือ
ไม่สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตามกฎหลักแห่งจิตจักรวาลได้
เมื่อพวกท่านเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้
เพราะเกิดการคิดต่าง
เห็นต่าง ชอบต่าง
พวกท่านก็ล้มเหลวในการเป็นสัตว์สังคม
เมื่อล้มเหลวในการเป็นสัตว์สังคม
พวกท่านก็หมุนธรรมจักรร่วมกันไม่ได้
เมื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันไม่ได้
พวกท่านก็ช่วยกันผลิตสร้างพลังงานบวก
ให้โลกนำไปใช้ในการบิดตัวของแกนโลก
เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองไม่ได้
โลกจึงเสียสมดุลเพราะหมุนช้าลงอยู่ในขณะนี้
จิตวิญญาณของผู้หลงยึดติดในอัตตา
จึงเป็น
"ลูก" ของพระบิดาอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งเราต้องกลับมาช่วย
"แกะ"
ให้หลุดออกจาก
"อัตตาตัวใหญ่"
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
คนที่หลงตัวเองแล้วเบ่งทับคนอื่น
คนที่งมงายเพราะหลงไหลในคนอื่นสิ่งอื่น
เป็นผู้คนพวกที่มีจิตใจไม่ใสสวย
วันๆจะหมุนก็แต่
#กรรมจักร ด้วยกิเลสตัณหา
จนทำให้จิตวิญญาณต้องมีอายุขัยในการเกิด
เพราะต้องแบ่งปันเวลากันมาเกิดมีภพชาติ
เพื่อการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาจิตใจ
ด้วยบทเรียนกรรมและบททดสอบจิตสำนึก
จากการสอบตกบททดสอบของตนเอง
3.
ท่านทั้งหลายยึดติด "ครู" คนเดียว
โดยเลือกที่จะยอมรับศรัทธาศาสดาองค์เดียว
และติดยึดแต่
"พระคัมภีร์" เล่มเดียวเท่านั้น
การยึดติดพระศาสดาองค์เดียว
หมายถึง
เมื่อเลือกรับถือศาสนาใดแล้ว
ก็จะยอมรับแต่พระศาสดาพระองค์นั้น
โดยจะปฏิเสธพระศาสดาพระองค์อื่น
จะก้าวล่วงพระศาสดาพระองค์อื่น
ทั้งๆที่ทุกๆพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
จะแบ่งแยกศาสดาเป็นของกูของมึงมิได้
ส่วนการ
"ติดยึด" พระคัมภีร์นั้น
หมายถึง
การศีกษาพระคัมภีร์
ด้วยการเพียรท่องจำตามตัวอักษร
โดยไม่ยอมคิดตามและไม่กล้าคิดต่าง
เวลาคุยธรรมะก็มักจะยกพระคัมภีร์มาอ้าง
เสมือนตนเองขาดแสงสว่างทางปัญญา
คิดอะไรด้วยตนเองไม่เป็น
ความรู้ใดที่ครูของตนไม่เคยสอน
ก็จะปฏิเสธก่อนที่จะคิดพิจารณา
ความรู้ใดที่แตกต่างจากที่ตนเชื่ออยู่
ก็จะต่อต้านความรู้ใหม่นั้นในทันที
โดยสรุปเอาเองว่าความรู้ใหม่นั้นไม่ถูกต้อง
เมื่อท่านทั้งหลายครองตนกันเยี่ยงนี้
จึงไม่ต่างจากการเอากะลาครอบตนเองไว้
จนไม่สามารถพัฒนาจิตตปัญญาของตนได้
เพราะพาตนเองซุกอยู่ในโลกแคบๆ
จนมิอาจมองเห็นโลกกว้างซึ่งมากด้วยมิติได้
การนำตนเองสู่การเป็นคนอัจฉริยะ
การนำตนเองสู่การเป็นอริยะบุคคล
การนำตนเองสู่การเป็นพหูสูตผู้รู้แจ้งในโลก
การนำตนสู่การเป็นสัพพัญญู
ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
จึงเป็นความจริงสำหรับมนุษย์โลกไม่ได้
เพราะมันกลายเป็นเรื่องยากของมนุษย์
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้อีกด้วยว่า
ท่านรู้หรือไม่ว่า...
พระศาสดาของโลกในอนันตจักรวาลนั้น
ที่พระบิดาทรงยอมให้มี
มีอยู่ด้วยกัน
2 ประเภท คือ
ศาสดาประเภทแรก:
เป็นพระศาสดาผู้อาสาทำหน้าที่
เป็นผู้นำทางของฝ่ายนักรบแห่งแสงสว่างอันหมายถึง
ฝ่ายนักพรต
และนักบวชที่เน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงปัญญา
หรือความฉลาดที่จะใช้ดับทุกข์ของตน
และปัญญาที่จะใช้ป้องกันตนมิให้เกิดทุกข์
ตามหลักแห่งอริยสัจ
3
คือ
ทุกข์ สมุทัย และนิโรธ เพื่อดับทุกข์
กับหลักแห่งอริยมรรค
8 ประการ
เพื่อป้องกันตนเองให้ว่างไปจากทุกข์
โดยฝ่ายนักรบแห่งแสงสว่างเหล่านี้
จะใช้หลักการปลีกวิเวกเพื่อสอนตนเอง
เพื่อเข้าถึงสัจธรรมใดๆด้วยตนเอง
ตามมรรควิถีที่พระศาสดาสอนเอาไว้
ซึ่งจำอะไรได้ก็จะทำไปตามนั้น
สัจธรรมที่พระศาสดาประเภทแรก
ทรงเข้าถึงได้
ตรัสรู้ได้แล้วนำมาสั่งสอนนั้น
จะเป็นโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม
ที่ความฉลาดของสมองสองซีกของมนุษย์
สามารถคิดรู้
เรียนรู้และหยั่งรู้ได้ไม่ยาก
ศาสดาประเภทที่สอง:
เป็นพระศาสดาที่พระบิดาทรงมีพระบัญชา
ให้มากล่าวพระโอวาทต่อลูกแกะของพระองค์
มาเป็นผู้นำทางเหล่านักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ซึ่งเป็นฆราวาสหรือคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้ในนาม
"พระบุตรเอก"
ซึ่งจากอดีตถึงปัจจุบันนับได้รวม
24 พระองค์แล้ว
เช่น
ท่านการ์ดี และ ท่านเยซุส เป็นต้น
พระศาสดาที่เป็นพระบุตรเอกทั้งหลาย
จะมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างก็คือ
ทรงมีเครื่องมือพิเศษจำเพาะพระองค์
ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้
โดยทรงเรียกการสื่อสารในระบบจิตสู่จิตนี้ว่า
Vertical
Telepathy คือการสื่อสารในแนวดิ่ง
ซึ่งมนุษย์โดยทั่วไปไม่มีกลไกกระบวนการนี้
หากท่านทั้งหลายถามว่า
ทำไมจึงต้องมีพระศาสดาถึง
2 ประเภท
ทำไมจึงต้องมีพระศาสดาหลายพระองค์
เราก็ขอตอบคำถามแบบรวมๆว่า
การยอมให้มีพระศาสดาทั้ง
2 ประเภท
เพราะว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งทางเลือกเสรี
พระองค์จึงทรงยอมให้ท่านทั้งหลาย
สามารถจะเลือกก้าวตาม
พระศาสดาที่เกิดจากโลกเองก็ได้
แต่เนื่องจากพระศาสดาที่เกิดจากโลกนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์มีขีดจำกัด
จนไม่สามารถเข้าถึงอนุตรธรรม
อันเป็นความจริงขั้นสูงสุดด้วยตนเองได้
เมื่อเข้าถึงสัจธรรมระดับสูงสุดไม่ได้
ก็ไม่สามารถจะกล่าวต่อมนุษย์โลกคนอื่นได้
ถ้ามนุษย์โลกโดยจิตหยาบ
ไม่อาจรู้สัจธรรมระดับอนุตรธรรมที่ว่านี้ได้
มนุษย์ผู้นั้นก็จะนำพาจิตวิญญาณของตน
ให้หลุดพ้นออกไปจากระบบ
เพื่อกลับบ้านเกิดยังแดนสุญตามิได้
เพราะพระศาสดาอันเกิดจากโลก
มีขีดจำกัดด้านเครื่องยนต์แห่งกรรมนี่แหละ
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาล
จึงต้องมีพระบัญชาให้
"พระบุตรเอก"
เสด็จลงมาจุติเพื่อช่วยเติมเต็มสัจธรรม
ให้ท่านทั้งหลายได้รับความรอด
ให้จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายไม่ต้องตาย
เพราะคืนกลับบ้านได้สู่ความเป็นนิรันดร์
แต่เพราะท่านทั้งหลาย
พากันหลง
"ยึดติด" พระศาสดาองค์เดียว
พากันหลง
"ติดยึด" พระคัมภีร์เล่มเดียว
และโชคร้ายมากเพราะที่ท่านพากันยึดติดนั้น
เป็นใบไม้ในกำมือพระศาสดาที่เกิดจากโลก
แต่ "อนุตรธรรม"
ซึ่งเป็นใบไม้นอกกำมือ
ของพระศาสดาและคัมภีร์ที่ท่านยึดติด
กลับถูกพวกท่านพากันปฏิเสธบ้างต่อต้านบ้าง
ทำให้ท่านขาดพร่องในสัจธรรมที่สำคัญไป
จนแม้จะปฏิบัติธรรมมานานแต่ก็จะหลุดพ้นมิได้
อนุตรธรรมที่เป็นใบไม้นอกกำมือพระศาสดา
ที่พระบุตรเอกนำมาบอกกล่าวให้มนุษย์รู้
มีไม่มากมายอะไรเลย
เพียงแค่ท่านเปิดใจเปิดหูรับฟังและคิดตาม
แล้วนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปเติมเต็มให้ตนเอง
โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา
ไม่ต้องเปลี่ยนพระศาสดา
แต่ให้นำเอาอนุตรธรรมความรู้ใหม่
มาเปลี่ยนแปลงที่จิตสำนึกของตนเอง
เพียงเท่านี้ประตูด่านนภาลัยก็เปิดออกกว้าง
พร้อมให้ท่านทั้งหลายก้าวผ่านออกไป
เพื่อกลับบ้านหรือเข้าคอกแกะได้ทันทีแล้ว
เพราะเรา
คือ คนเฝ้าประตูคอกแกะ
มิได้มาทำหน้าที่
"แกะๆแงะๆ" อย่างเดียว
นี่จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ซึ่งทำให้เราต้อง
"แกะ" ท่านทั้งหลาย
ออกจากการยึดติดพระศาสดาองค์เดียว
ออกจากการติดยึดพระคัมภีร์เล่มเดียว
การกลับมาแกะมนุษย์ออกจากการยึดติด
เพื่อพาให้
"หลุดพ้น" กลับบ้านแดนสุญตา
จึงเป็นภารกิจที่แสนยากยิ่ง
เพราะพวกท่านพากันยึดติดอย่างเยอะแยะ
พากันยึดรั้งอย่างยั้วเยี้ยไปหมด
แถมพี่ๆน้องๆบางรายเมื่อเราช่วยแกะ
กลับหันมา
"แขวะเรา" ก็มี "กัด" เราก็มี
ทั้งพิษร้ายทั้งฤทธิ์แรงจนแทบทนไม่ไหว
ส่วนทำไมต้องมีพระศาสดาหลายพระองค์
เหตุเพราะว่ามนุษย์โลกเสรีนี้
ดำเนินชีวิตผ่านมาแล้วกว่า
6 หมื่นปี
มีช่วงเวลาที่จิตสามนึกตกต่ำย่ำแย่
เกิดขึ้นมาแล้วหลายยุคหลายสมัย
พระบิดาจึงต้องส่งพระบุตรเอกลงมาช่วย
ต่างยุคสมัยกันหลายพระองค์เป็นธรรมดา
แต่มิได้ส่งมาจุติพร้อมกันมากกว่าหนึ่ง
เพราะไม่ประสงค์ให้มนุษย์โลกเจ้าปัญหา
ต้องมัวเสียเวลาเลือกที่รักมักที่ชัง
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-08-2019