#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#การหลุดพ้น
มิใช่เรื่องยาก
จนเกินวิสัยของมนุษย์โลกทุกคนแต่อย่างใด
ถ้าท่านมีคำตอบที่ถูกต้องตรงจริง
ใน 5 คำถามสำคัญดังต่อไปนี้
1. "การหลุดพ้น"
คือ อะไร อย่างไร
2. ใคร
คือ ผู้หลุดพ้น
3.
ทำไมจึงต้อง "หลุดพ้น"
4.
จะเข้าถึงการหลุดพ้นได้อย่างไร
5. ทำไม
"นิพพาน" จึงมิใช่ การหลุดพ้น
ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การหลุดพ้น
หมายถึง
1.
การที่จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของมนุษย์
เมื่อทิ้งกายสังขารตายในภพชาตินั้นๆแล้ว
สามารถดีดตนเองออกจากกายหยาบ
จนเป็นอิสระจากจิตหยาบที่กำกับดูแลอยู่ได้
2.
เมื่อเป็นอิสระ
จากกายหยาบและจิตหยาบแล้ว
จิตวิญญาณนั้นยังสามารถดีดตนเอง
ออกจากโลกและกาแล็กซีทางช้างเผือก
จนถึง #ด่านนภาลัย
อันเป็นประตูมิติเข้าออก
ระหว่างแดนสุญตาถิ่นกำเนิดของจิตวิญญาณ
กับ #เอกภพ
ของพระบิดาหรืออนันตจักรวาล
ที่จิตวิญญาณข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้
3.
เมื่อจิตวิญญาณเดินทางไปถึงประตูมิติ
ที่มีนามว่า
"ด่านนภาลัย" เรียบร้อยแล้ว
ภารกิจทางจิตวิญญาณที่ต้องทำที่นั่นก็คือ
การชำระจิตวิญญาณให้กลับคืนสู่สภาวะสุญตา
เหมือนคุณสมบัติเดิมที่เข้ามาเกิดภพชาติแรก
หลักการชำระจิตวิญญาณให้เป็นสุญตาก็คือ
จะต้องถอดเอาคุณสมบัติด้าน
"จิตสามนึก"
คือ
นึกออก นึกเอา และนึกเอง
กับ "ความอยากเรียนรู้"
ที่เป็นอยากรู้ อยากเห็น
ซึ่งจิตวิญญาณได้รับการติดตั้งคุณสมบัติเหล่านี้
ตั้งแต่ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรก
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ
"คน" สองมิติ
สู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุลบนดาวโลกเสรีนี้
โดยที่ตัวท่านเองจะไม่สามารถถอดรหัสนี้เองได้
จักต้องได้รับการช่วยเหลือจากรูปธรรมชั้นสูง
ซึ่งประจำอยู่ตรงด่านนภาลัยที่เป็นวิหารสีขาว
ให้ช่วยนำเข้าและถอดออกเท่านั้น
4.
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านทั้งหลายต้องรู้ก็คือ
ในกรณีที่ตัวตนภาคแรกของท่านในแดนสุญตา
ได้แบ่งภาคตนเองเป็นจิตวิญญาณหลายรูปธรรม
แล้วทะยอยกันเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกนั้น
ทุกรูปธรรมจะต้องดีดตนเองออกจากระบบโลก
ไปพบเจอกันอย่างพร้อมหน้าตรงด่านนภาลัย
แล้วทำการถอดรหัสสองอย่างที่ว่านี้ออก
เพื่อกลับคืนสู่คุณสมบัติแห่งสุญตาด้วยกัน
ใครไปถึงที่นั่นก่อนก็ทำการถอดรหัสก่อน
ใครยังเดินทางไปถึงที่นั่นไม่ครบจำนวนที่เข้ามา
ก็ต้องรอกันอยู่ที่นั่นก่อนจนกว่าจะครบถ้วน
นอกจากนั้น
หากยังมีเศษบาปกรรมหลงอยู่ในจิตสามนึก
จิตวิญญาณของท่านก็จักต้องเรียนรู้
เพื่อสร้างสำนึกที่ถูกต้องในเรื่องนั้นๆก่อน
เช่น
จิตวิญญาณของท่านจะถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้า
โดยมีเหล็กแผ่นใหญ่ๆล่ามขาไว้ทั้งสองข้าง
แล้วถูกกำหนดให้ก้าวเดินกลับไปกลับมา
คล้ายเดินจงกรมลากแผ่นเหล็กอันหนักอึ้งไปด้วย
ท่านจะต้องเดินไปมาอยู่อย่างนั้น
จนสามารถมีสำนึกระลึกได้เองว่า
ท่านเผลอสติทำอะไรผิดไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์
แผ่นเหล็กที่ข้อเท้าสองข้างก็จะหายวับไป
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง
ซึ่งจิตวิญญาณพวกท่านบางคนต้องเผชิญ
นั่นคือ
จิตวิญญาณจะต้องเทินแผ่นเหล็กบางๆ
แต่มีจำนวนแผ่นมากนับร้อยแผ่นไว้บนศีรษะ
โดยท่านจะหยุดยืนนิ่งเฉยไม่ก้าวเดินต่อก็ไม่ได้
เวลาเมื่อยล้าจะนั่งลงพักเมื่อยสักหน่อยก็ไม่ได้
รู้สึกปวดคอปวดหัวจะเอาแผ่นเหล็กออกก็มิได้
เมื่อรู้สำนึกบาปได้ว่าทำผิดอะไรไว้
จึงต้องเผชิญบททดสอบแบบนี้แล้วนั่นแหละ
แผ่นเหล็กทั้งหมดที่วางอยู่บนหัวจึงจะหายไป
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ความจริงที่ท่านต้องรู้ลำดับถัดมาก็คือ
ใคร คือ
ผู้หลุดพ้น
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
"ผู้หลุดพ้น"
ในที่นี้เราหมายถึง
จิตวิญญาณผู้ขันอาสาพระบิดาฯ
ข้ามมิติผ่านด่านนภาลัยเข้ามาในเอกภพ
เพื่อถือกำเนิดเกิดเป็น
"คนสองมิติ"
ในระบบดาวโลกเสรีดวงนี้นั่นเอง
โดยมีเงื่อนไขว่าทุกรูปธรรม
อันประกอบด้วย
3 ส่วน คือ
จิตหยาบ
กายหยาบ และจิตวิญญาณ
จักต้องคนทั้งสามส่วนนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อยกระดับจาก
"คน" สู่การเป็น "มนุษย์"
นอกจากนั้นท่านทั้งหลายยังจะต้อง
หมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกันกับผู้อื่นด้วย
เพื่อสร้างสมดุลโลกและจักรวาลอย่างยั่งยืน
โดยพร้อมที่จะปฏิบัติตามพันธะสัญญา
6
ที่ตนได้ให้สัญญาผูกพันไว้กับพระบิดาว่า
จะทำให้ได้และจะทำให้สำเร็จลุล่วง
ภายใน 6
หมื่นปีโลกในยุคพลังงานเก่า
ซึ่งบัดนี้ได้ล่วงเลยกาลสิ้นยุคมานานแล้ว
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เงื่อนไขที่จิตวิญญาณของท่าน
จะสามารถหลุดพ้นได้มีดังนี้
คือ
1.
จิตวิญญาณของท่าน
จะต้องมีน้ำหนักมวลไม่เกิน
50 มิลลิกรัม
ซึ่งไม่เกินจากน้ำหนักเดิมเมื่อแรกเข้ามา
ถ้าจิตวิญญาณของท่าน
จะมีน้ำหนักมวลเท่าเดิมได้มีเพียง
2 สถาน
นั่นคือ
ตอนที่ได้รับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์
ในทุกภพชาติแห่งการเกิดนั้น
หนึ่ง
คือ ท่านจักต้องไม่ก่อกรรมใหม่
สอง คือ
ท่านจักต้องแก้ไขกรรมเก่าให้สิ้น
2.
การไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่า
จักต้องกระทำผ่าน
#จิตสามนึกตนเอง เท่านั้น
ซึ่งท่านทั้งหลายจะต้องสั่นสะเทือนด้านบวก
ทั้งทางจิตตปัญญาและการกระทำต่อผู้อื่น
โดยไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบให้ผู้อื่นเสียสมดุล
ตลอดชีวิตตลอดอายุขัยของท่านให้จงได้
โดยที่ท่านทั้งหลาย
จะเข้าถึงคุณสมบัติที่ว่านี้ได้ด้วยดวงแก้วสองดวง
ที่องค์จิตจักรวาลประทานผ่านเรามาให้ท่าน
นั่นคือ
มหาสติ และปณิธานแห่งการหลุดพ้น
ด้วยการมุ่งมั่นหมั่นปฏิบัติตามให้เคร่งครัด
ด้วยการไม่หนีสังคม
ไม่หนีเจ้ากรรมนายเวร
เพราะการที่ท่านจะไม่ก่อกรรมใหม่
และสามารถที่จะแก้ไขกรรมเก่าได้นั้น
จักต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนในสังคม
ที่เป็นทั้งครูผู้สอนและครูผู้ออกข้อสอบให้ทำ
ซึ่งเป็นคนรายรอบตัวท่านนั่นเอง
การปลีกวิเวกขณะเป็นผู้ครองเรือน
ไม่ยอมคบใคร
หรือไม่มีใครคบหาด้วย
จะเป็นอุปสรรคในการชำระกรรมเก่าอย่างยิ่ง
แม้ท่านจะไม่ก่อกรรมใหม่ๆเพิ่ม
เพราะมีอาณาปานะสติทุกลมหายใจ
แต่ก็ยังมิอาจเป็นผู้หลุดพ้นได้
เนื่องจากกรรมเก่าทุกประเภท
ที่ติดจิตวิญญาณมาตั้งแต่อดีตชาติ
ยังมิได้รับการดูแลแก้ไขนั่นเอง
3.
บาปกรรม
จากการกระทำไม่ถูกต้องของจิตสามนึกนั้น
จะเป็นอนุภาคทางไฟฟ้าด้านลบที่มีน้ำหนักมวล
เท่ากับ
10.5 มิลลิกรัมต่อหนึ่งกรรมที่ก่อขึ้น
โดยมันจะเกาะติดอยู่กับจิตวิญญาณเหมือนฝุ่น
ใครก่อกรรมใหม่มากและมีกรรมเก่ามามาก
จะยังผลให้จิตวิญญาณมีน้ำหนักมากขึ้น
เมื่อจิตวิญญาณรูปธรรมใด
มีน้ำหนักมวลมากกว่าภพชาติแรกที่เข้ามา
ก็จะถูกโลกและจักรวาลดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้
จนไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้ได้
แต่เนื่องจากบัดนี้
โลกและจิตวิญญาณพวกท่าน
ได้ใช้เวลาทำหน้าที่จนสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
เพื่อให้จิตวิญญาณของทุกคนสามารถกลับบ้าน
ในสภาวะการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพได้
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงเป็นเอกองค์จิตจักรวาล
จึงทรงมีพระเมตตาต่อบุตรมนุษย์ทั้งหลายว่า
ถ้าผู้ใดสามารถใช้ลูกแก้วสองดวงได้ดี
จนมีผลกรรมติดจิตวิญญาณอยู่ไม่เกิน
30%
ในคาบสุดท้าย
56 วัน 8 ราตรีได้
จะทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณนั้นเป็นผู้หลุดพ้น
แต่จะต้องนำพาตนเอง
ไปปฏิบัติการชำระกรรมที่เหลือ
ด้วยวิธีสร้างสำนึกใหม่ให้ถูกต้อง
ในกรณีกรรม
30% ที่เหลืออยู่
ด้วยกระบวนการ
"ไซโคโชว์" ของพระบิดา
และร่วมทำโมฆะกรรมกับองค์จิตจักรวาล
ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรมิยอมอโหสิกรรมให้
หรือมิอาจติดต่อเจ้ากรรมนายเวรได้
ณ
จิตจักรวาลสถานธรรม ในประเทศไทย
4.
จิตวิญญาณที่จะสามารถหลุดพ้น
เพื่อคืนกลับบ้านยังแดนสุญตาได้นั้น
จักต้องทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาฯได้
โดยจำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณตนเองได้
จนสามารถทำสามเหลี่ยมได้อย่างเชี่ยวชาญ
เสมือนเป็นดั่งธรรมชาติของตัวท่านเอง
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
จิตวิญญาณของท่าน
มีเมอร์คขะบาห์เป็นยานพาหนะ
ถ้าท่านจะเดินทางไปที่ไหน
จิตวิญญาณของท่านจะต้องกำหนด
ทั้งทิศทางและเป้าหมายให้ยานพาหนะรู้
มิเช่นนั้นเมื่อท่านตายไปแล้ว
เมอร์คขะบาห์ก็นำพาท่านไปไหนไม่ถูก
เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณต้องการไปไหน
ก็ไม่ต่างจากตนนำทางตาบอดนั่นแหละ
บางรูปธรรมแม้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เคร่งครัดปฏิบัติธรรมกันมาหลายภพชาติ
แต่ก็มิอาจหลุดพ้นกลับบ้านได้
เพราะปฏิเสธผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณตนเอง
จึงเป็นเหมือนคนไม่มีบ้านให้กลับ
เมอร์คขะบาห์ของพวกเขารู้อย่างเดียวว่า
ต้องการตายแล้วหายสาปสูญไปจากโลก
โดยไม่มีเป้าหมายปลายทางที่ชัดๆ
พวกเขาจึงต้องไปลอยค้างอยู่บนสวรรค์
เมอร์คขะบาห์ต้องพาไปกองกันอยู่บนนั้น
ที่น้ำหนักตัวมากก็ลอยต่ำหน่อย
ที่น้ำหนักตัวน้อยๆก็ลอยสูงขึ้นไป
จะไปไหนต่อก็ไม่ได้
เหตุเพราะขาดความรู้ด้านอนุตรธรรม
ที่มีเพียงพระบุตรเอกเท่านั้นที่รู้
และบอกกล่าวความจริงเหล่านี้ได้
การยึดติดพระศาสดาพระองค์เดียวของท่าน
โดยไม่รับฟังพระโอวาทพระบิดาผ่านบุตรเอก
เปรียบได้ดั่งฝูงแกะที่ก้าวตามคนนำทางตาบอด
เพื่อพยายามจะปีนคอกเข้าคอกนั่นแหละท่าน
5.
เงื่อนไขสำคัญสุดท้ายของจิตวิญญาณ
ที่จะหลุดพ้นจากเอกภพกลับบ้านได้นั้น
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณต้องเต็มร้อย
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
หมายถึง
แรงดีดตนเองของเมอร์คขะบาห์
ที่จะพาจิตวิญญาณของท่าน
หนีแรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูดต่างๆ
ออกจากระบบไปยังปลายทางสุดท้ายได้
ซึ่งแรงดีดตนเองของเมอร์คขะบาห์ที่ว่านี้
ถ้ามีพลังน้อยกว่าค่าคงที่แต่เดิมที่เข้ามา
จิตวิญญาณนั้นก็จะเป็นอิสระจากระบบมิได้
ไม่ต่างจากก้อนเมฆที่ถูกโลกยึดรั้งเอาไว้
จนเมฆใหญ่น้อยต้องพากันลอยค้างฟ้า
แม้ว่ามวลเมฆจะเคลื่อนที่ไปมาตามลมได้
แต่ก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม่ได้
ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
มันต้องได้จากการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
ขณะที่ท่านคนตนเองให้เป็นมนุษย์
จนเป็นธรรมชาติของท่านเองได้
นั่นคือ
จิตหยาบของท่าน
ต้องไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหาราคะ
และอารมณ์ขยะรายวันทั้งปวง
มันจะทำให้จิตหยาบยกระดับตนเองให้สูงขึ้น
เพื่อสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของท่านไม่ได้
ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
จะสูงจะต่ำมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับว่าจิตหยาบของท่าน
ตอนที่ยังถือภพชาติเป็นมนุษย์อยู่นั้น
สามารถเข้าถึงการสั่นสะเทือนด้านบวก
ในระดับสูงสุดได้มากเท่าใดเป็นสำคัญ
ดังนั้น
ถ้าตอนที่เป็นมนุษย์ทำตัวเหลวไหล
เป็นคนกิเลสหนาตัณหามาก
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณก็จะน้อย
ตายแล้วก็ไม่สามารถจะไปไหนได้
ขนาดต้องไปนรกเพื่อบำบัดจิตวิญญาณ
ก็ยังจะต้องรอให้ท่านยมบาลมารับตัวไป
เพราะไม่รู้จะไปไหนและไร้เรี่ยวแรง
นอกจากนั้น
การอุตริไปเจาะไชเอาพลังเมอร์คขะบาห์
ซึ่งอยู่ในรูปของพลังจิตใต้สำนึกมาใช้
ในขณะที่ตนเองเป็นมนุษย์อยู่
ด้วยวิธีฉ้อฉลจิตวิญญาณตนเอง
แทนที่จะเข้าถึงพลังทางจิตวิญญาณ
ด้วยการสั่นสะเทือนผ่านจิตสามนึก
ตามกระบวนการธรรมชาติที่ทรงกำหนดไว้
พลังที่ถูกเจาะไชนำไปใช้
อย่างผิดกระบวนการทางธรรมชาตินี้
จะลดถอยร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ
เพราะจะไม่ได้รับการเติมเต็มกลับคืน
เปรียบดั่งแบตเตอรี่ที่ใช้ไฟแล้วไม่รีชาร์จ
เมื่อท่านผู้นั้นตายไปในภพชาตินั้นแล้ว
พลังทางจิตวิญญาณก็จะเหลือน้อยกว่าปกติ
จะเป็นได้แค่พลังแสงของหิ่งห้อยตัวน้อย
ที่ทำได้แค่กระพริบและสว่างได้แค่ริบหรี่
ตายตรงไหนจิตวิญญาณก็จะอยู่ตรงนั้น
เพราะไร้พลังดีดตนเองไปในที่ๆต้องการ
ที่สำคัญคือมองไม่เห็นหนทางที่จะไป
เพราะอาภัพอับแสงนั่นเอง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
อนุตรธรรมชั้นสูง
ที่เราถ่ายทอดพระโอวาทมานี้
ยังมีตอนต่อไปให้ท่านเรียนรู้กันอีก
ใครปรารถนาจะเรียนรู้กันต่อ
ช่วยสำแดงความจำนงค์แสดงตนหน่อยมั้ย
อย่าเข้ามาอ่านเฉยๆหรือกดไลค์อย่างเดียว
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-08-2019