#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้ง หลาย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา
คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็ น
ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด"
เรากลับมาครั้งนี้
ก็เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหล ายว่า
ที่ทรงตรัสไว้ข้างต้นนั้นเป ็นความจริง
1.ประโยคที่ว่า "การมาในโลกนี้"
หมายถึง การที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ ์
ทรงเสด็จลงมาจากแดน #จิตจักรวาล
แล้วข้ามมิติเข้ามายังแดน #อนันตจักรวาล
สู่การจุติเป็น "บุตรมนุษย์" บนโลกเสรีนี้
ตามพระบัญชาพระบิดาแห่งจิตว ิญญาณ
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพ ระโอวาท
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเ สรีนี้
ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญ าณ
ด้วยบทบาทของ "พระบุตรเอก"
โดยพระโอวาทที่ทรงตรัสไว้ทั ้งหลายนั้น
ล้วนสื่อถ่ายทอดสดเป็นคลื่น การคิด
มาจากดินแดนจิตจักรวาล
อันเป็นพระอาณาจักรแห่งพระเ จ้า
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
ซึ่งสัจธรรมที่ทรงสื่อถ่ายท อดลงมาให้นั้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริง แท้
ที่คนนำทางผู้เป็นคนของโลกท ั้งหลาย
ไม่สามารถใช้จิตปัญญาของสมอ งสองซีก
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธร รมมนุษย์
เข้าถึงความจริงเหล่านี้เอง ได้
เช่น ความรู้ที่เป็นสัจธรรมความจ ริง
ดังต่อไปนี้ คือ
- จิตวิญญาณของตนเป็นใคร
- มาจากไหน
- มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
- มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
เป็นต้น
ซึ่งพระบิดาทรงจัดสัจธรรมเห ล่านี้ไว้
ในหมวดของสัจธรรมชั้นสูงสุด
ที่เรียกว่า #อนุตรธรรม
พระบิดาจึงต้องแต่งตั้งให้ "พระบุตรเอก"
แบ่งภาคลงมาจุติเป็นพระศาสด า
เพื่อเข้ามากล่าวพระโอวาท
ประกาศสัจธรรม
ในหมวดที่พระศาสดาของโลกเอง
มิอาจเข้าถึงด้วยการเรียนรู ้กันเองได้
ดังเช่นสัจธรรมในระดับ #โลกิยธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกซ้าย
วิเคราะห์เอาเองได้
และสัจธรรมในระดับ #โลกุตรธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกขวา
สังเคราะห์เอาเองได้
เพราะสมองมนุษย์มีเพียงสองซ ีก
มนุษย์จึงไม่มีสมองส่วนใด
ที่สามารถเข้าถึง
ความจริงในระดับอนุตรธรรมได ้อีก
ดังนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือพระผู้เป็นเจ้า
จึงต้องส่งพระบุตรเอก
เข้ามาจุติในระบบโลก
เพื่อนำเอา "อนุตรธรรม" มาบอกกล่าว
ช่วยนำเอามาเติมเต็มสัจธรรม
ที่พระศาสดาผู้มาจากโลกเอง
มิอาจเข้าถึงได้ดังกล่าวแล้ ว
ด้วยเหตุนี้เอง
พระบุตรเอกทั้งหลาย
เช่น พระเยซูเจ้า
กับพระศาสดาที่มาจากโลกทุกร ูปธรรม
จึงต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวก ันทั้งสิ้น
มิใช่ศัตรูคู่แข่งขัน
มิได้แย่งกันเป็นพระศาสดา
มิได้แย่งกันล่าสาวก
อย่างการคิดแบบจิตมนุษย์แต่ อย่างใด
2.ประโยคที่พระเยซูตรัสว่า
"พิพากษาคนที่มองไม่เห็น
จะได้มองเห็น" นั้นความหมายคือ
พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่ วยเหลือ
พี่ๆน้องๆที่เป็นมนุษย์ที่ข าดพร่อง
ทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญา
โดยไม่รู้ว่ายังมีสิ่งใดที่ ตนไม่รู้ว่าไม่รู้
ทั้งๆที่ตนจะต้องรู้อยู่อีก บ้าง
ยังมีความรู้ใดที่มนุษย์รู้ อยู่เชื่ออยู่
แต่เป็นภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นความเชื่อไม่เชื่อที ่งมงายอยู่
ให้ได้รู้กระจ่างสว่างในกมล กันถ้วนทั่ว
ดังนั้น
การเปลี่ยนคนที่ไม่รู้จริงไ ม่รู้แจ้ง
ให้บังเกิดการรู้จริงรู้แจ้ งขึ้นมาได้
โดยเด็ดขาดกันอย่างสิ้นเชิง เช่นนี้
จึงไม่ต่างจากการช่วยเหลือใ ห้
"คนตาบอด" กลับมา "มองเห็น"
กลายเป็นคนตาดีได้นั่นเอง
3.ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัส ว่า
"ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด" นั้น
ทรงหมายความว่า
เมื่อพระองค์ทรงช่วยให้คนที ่ไม่รู้
ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
ในความจริงที่จริงแท้ทั้งหม ดทั้งสิ้น
ดั่งคนตาดีที่สามารถมองเห็น ได้แล้ว
นั่นเท่ากับว่า
การเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโ ลกเสรี
ของประดาจิตวิญญาณทั้งหลาย
เพื่อเข้ามาเรียนรู้บทเรียน โลกนั้น
ก็เป็นอันสิ้นสุดหลักสูตรกา รเรียนรู้
เพราะได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่ าง
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
กล่าวคือ
ได้เรียนรู้ทั้งโลกิยะธรรมแ ละโลกุตรธรรม
ที่ประดาคนนำทางซึ่งเป็นคนข องโลกเอง
ได้พยายามบอกกล่าวเล่าสอนสื บมา
รวมทั้งได้เรียนรู้อนุตรธรร มทั้งหมด
ที่พระศาสดาซึ่งเป็นพระบุตร เอก
ที่พระบิดาหรือพระเจ้าทรงแต ่งตั้งเข้ามา
จึงยังผลให้มนุษย์เกิดอาการ #ตาสว่าง
จนสามารถมองเห็นอะไรๆได้อย่ างชัดแจ้ง
ส่วนคำกล่าวที่ว่า
"คนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนต าบอด"
พระองค์ทรงหมายความว่า
เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจนหมดสิ้ นแล้วว่า
อะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นจะต้องเรี ยนรู้อะไรอีก
ไม่จำเป็นจะต้องอยากรู้อยาก เห็นอีก
ซึ่งหมายถึง "คนตาบอด" โดยแท้
เมื่อทรงช่วยให้มองเห็นแล้ว
จะกลายเป็นคนตาบอดก็เพราะเห ตุนี้
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้ง หลาย
น่าเสียดายยิ่งนักที่ยังมีม นุษย์หลายคน
มีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นสูง
โดยยึดติดพระศาสดา
ที่เป็นของโลกเพียงพระองค์เ ดียว
เพราะเชื่อว่าครูคนเดียว
สอนให้นักเรียนฉลาด เก่ง และดีได้
ยึดติดพระคัมภีร์ธรรมเล่มเด ียว
เพราะเชื่อว่าคัมภีร์เล่มเด ียว
สามารถบรรจุสัจธรรมความรู้
ทั้งจักรวาลได้
ดังนั้น
มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระ ศาสดา
ที่ตนเองไม่ยอมรับนับถือ
มนุษย์ใจบาปบางพวก
จึงก่อกรรมทำร้ายศาสนาอื่นๆ
เพื่อให้ศาสนาที่ตนเลือกสูง เด่นขึ้น
มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงไม่ใจกว้างรับฟังธรรมะจา กศาสดาอื่น
ไม่ยอมศึกษาพระธรรมจากศาสนา อื่น
มนุษย์บางพวก
กลับสนใจแต่พิธีกรรมต่างๆ
ที่เป็นอวิชชา
เพราะเข้าถึงแก่นแท้สัจธรรม ไม่ได้
มนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่เคยฉุก คิดว่า
ทำไมตนเองปฏิบัติบำเพ็ญมายา วนาน
แล้วทำไมยังหลุดพ้น
หรือนิพพานไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกเขารู้จักเราแต่ก็ไ ม่ยอมแลมา
เมื่อพวกเขาแลเห็นเราแต่เขา ก็ไม่ใส่ใจ
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเรา
แต่พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะรั บฟัง
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2018
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้ง
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา
คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็
ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด"
เรากลับมาครั้งนี้
ก็เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหล
ที่ทรงตรัสไว้ข้างต้นนั้นเป
1.ประโยคที่ว่า "การมาในโลกนี้"
หมายถึง การที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ
ทรงเสด็จลงมาจากแดน #จิตจักรวาล
แล้วข้ามมิติเข้ามายังแดน #อนันตจักรวาล
สู่การจุติเป็น "บุตรมนุษย์" บนโลกเสรีนี้
ตามพระบัญชาพระบิดาแห่งจิตว
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพ
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเ
ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญ
ด้วยบทบาทของ "พระบุตรเอก"
โดยพระโอวาทที่ทรงตรัสไว้ทั
ล้วนสื่อถ่ายทอดสดเป็นคลื่น
มาจากดินแดนจิตจักรวาล
อันเป็นพระอาณาจักรแห่งพระเ
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
ซึ่งสัจธรรมที่ทรงสื่อถ่ายท
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริง
ที่คนนำทางผู้เป็นคนของโลกท
ไม่สามารถใช้จิตปัญญาของสมอ
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธร
เข้าถึงความจริงเหล่านี้เอง
เช่น ความรู้ที่เป็นสัจธรรมความจ
ดังต่อไปนี้ คือ
- จิตวิญญาณของตนเป็นใคร
- มาจากไหน
- มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
- มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
เป็นต้น
ซึ่งพระบิดาทรงจัดสัจธรรมเห
ในหมวดของสัจธรรมชั้นสูงสุด
ที่เรียกว่า #อนุตรธรรม
พระบิดาจึงต้องแต่งตั้งให้ "พระบุตรเอก"
แบ่งภาคลงมาจุติเป็นพระศาสด
เพื่อเข้ามากล่าวพระโอวาท
ประกาศสัจธรรม
ในหมวดที่พระศาสดาของโลกเอง
มิอาจเข้าถึงด้วยการเรียนรู
ดังเช่นสัจธรรมในระดับ #โลกิยธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกซ้าย
วิเคราะห์เอาเองได้
และสัจธรรมในระดับ #โลกุตรธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกขวา
สังเคราะห์เอาเองได้
เพราะสมองมนุษย์มีเพียงสองซ
มนุษย์จึงไม่มีสมองส่วนใด
ที่สามารถเข้าถึง
ความจริงในระดับอนุตรธรรมได
ดังนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือพระผู้เป็นเจ้า
จึงต้องส่งพระบุตรเอก
เข้ามาจุติในระบบโลก
เพื่อนำเอา "อนุตรธรรม" มาบอกกล่าว
ช่วยนำเอามาเติมเต็มสัจธรรม
ที่พระศาสดาผู้มาจากโลกเอง
มิอาจเข้าถึงได้ดังกล่าวแล้
ด้วยเหตุนี้เอง
พระบุตรเอกทั้งหลาย
เช่น พระเยซูเจ้า
กับพระศาสดาที่มาจากโลกทุกร
จึงต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวก
มิใช่ศัตรูคู่แข่งขัน
มิได้แย่งกันเป็นพระศาสดา
มิได้แย่งกันล่าสาวก
อย่างการคิดแบบจิตมนุษย์แต่
2.ประโยคที่พระเยซูตรัสว่า
"พิพากษาคนที่มองไม่เห็น
จะได้มองเห็น" นั้นความหมายคือ
พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่
พี่ๆน้องๆที่เป็นมนุษย์ที่ข
ทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญา
โดยไม่รู้ว่ายังมีสิ่งใดที่
ทั้งๆที่ตนจะต้องรู้อยู่อีก
ยังมีความรู้ใดที่มนุษย์รู้
แต่เป็นภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นความเชื่อไม่เชื่อที
ให้ได้รู้กระจ่างสว่างในกมล
ดังนั้น
การเปลี่ยนคนที่ไม่รู้จริงไ
ให้บังเกิดการรู้จริงรู้แจ้
โดยเด็ดขาดกันอย่างสิ้นเชิง
จึงไม่ต่างจากการช่วยเหลือใ
"คนตาบอด" กลับมา "มองเห็น"
กลายเป็นคนตาดีได้นั่นเอง
3.ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัส
"ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด" นั้น
ทรงหมายความว่า
เมื่อพระองค์ทรงช่วยให้คนที
ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
ในความจริงที่จริงแท้ทั้งหม
ดั่งคนตาดีที่สามารถมองเห็น
นั่นเท่ากับว่า
การเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโ
ของประดาจิตวิญญาณทั้งหลาย
เพื่อเข้ามาเรียนรู้บทเรียน
ก็เป็นอันสิ้นสุดหลักสูตรกา
เพราะได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
กล่าวคือ
ได้เรียนรู้ทั้งโลกิยะธรรมแ
ที่ประดาคนนำทางซึ่งเป็นคนข
ได้พยายามบอกกล่าวเล่าสอนสื
รวมทั้งได้เรียนรู้อนุตรธรร
ที่พระศาสดาซึ่งเป็นพระบุตร
ที่พระบิดาหรือพระเจ้าทรงแต
จึงยังผลให้มนุษย์เกิดอาการ
จนสามารถมองเห็นอะไรๆได้อย่
ส่วนคำกล่าวที่ว่า
"คนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนต
พระองค์ทรงหมายความว่า
เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจนหมดสิ้
อะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นจะต้องเรี
ไม่จำเป็นจะต้องอยากรู้อยาก
ซึ่งหมายถึง "คนตาบอด" โดยแท้
เมื่อทรงช่วยให้มองเห็นแล้ว
จะกลายเป็นคนตาบอดก็เพราะเห
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้ง
น่าเสียดายยิ่งนักที่ยังมีม
มีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นสูง
โดยยึดติดพระศาสดา
ที่เป็นของโลกเพียงพระองค์เ
เพราะเชื่อว่าครูคนเดียว
สอนให้นักเรียนฉลาด เก่ง และดีได้
ยึดติดพระคัมภีร์ธรรมเล่มเด
เพราะเชื่อว่าคัมภีร์เล่มเด
สามารถบรรจุสัจธรรมความรู้
ทั้งจักรวาลได้
ดังนั้น
มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระ
ที่ตนเองไม่ยอมรับนับถือ
มนุษย์ใจบาปบางพวก
จึงก่อกรรมทำร้ายศาสนาอื่นๆ
เพื่อให้ศาสนาที่ตนเลือกสูง
มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงไม่ใจกว้างรับฟังธรรมะจา
ไม่ยอมศึกษาพระธรรมจากศาสนา
มนุษย์บางพวก
กลับสนใจแต่พิธีกรรมต่างๆ
ที่เป็นอวิชชา
เพราะเข้าถึงแก่นแท้สัจธรรม
มนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่เคยฉุก
ทำไมตนเองปฏิบัติบำเพ็ญมายา
แล้วทำไมยังหลุดพ้น
หรือนิพพานไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกเขารู้จักเราแต่ก็ไ
เมื่อพวกเขาแลเห็นเราแต่เขา
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเรา
แต่พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะรั
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2018