#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆจิตจักรวาลทายาทที่รัก
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะสันดานของจิตมันอยู่นิ่งไม่ได้
ต้องหาอะไรให้มันยึดเกาะ
ต้องหาอะไรให้มันทำไว้
มิเช่นนั้นมันจะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ
มันจะไร้สาระไปตลอด
เมื่อนักบวชนั่งกรรมฐานสมาธิ
เขาจึงต้องทำอานาปานสติ
โดยกำหนดจิตไว้ที่ลมหายใจเข้าออก
แล้วอาจใส่รหัสให้จิตมันยึด
ด้วยการท่องหรือภาวนา "พุทโธ" ไว้
ซึ่งจิตในขณะนั้นก็จะอยู่กับคำว่า
"พุทธ" เมื่อหายใจเข้า
อยู่กับ "โธ" เมื่อหายใจออก เป็นต้น
แต่ปรากฏว่าบางครั้งหรือบ่อยครั้ง
นักบวชก็ยังรั้งจิตไว้กับอานาปานสติไม่อยู่
มันยังคอยจะมี #มาร เข้าแทรกอยู่เรื่อย
เช่น จิตมันไปนึกเรื่องอื่น เห็นเรื่องอื่น
ทั้งๆที่นั่งหลับตากำหนดจิตพุทโธ
อยู่อย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง
พวกเขาจึงเสี้ยมสอนกันสืบมาว่า
#จงอย่าไปอะไรกับอะไร เหล่านั้น
เพราะมันเป็นคลื่นแทรกเข้ามาในจิต
มันเป็นมารมันเป็นสิ่งที่นักบวชนั้นไม่ต้องการ
เพราะคลื่นแทรกมันจะทำให้
สติแตกสมาธิขาด
ต้องยึดมั่นถือมั่น
อยู่กับสิ่งที่จิตกำหนดไว้เท่านั้น
เพราะสันดานของจิตเป็นแบบนี้
นักบวชทั้งหลายที่ปลีกวิเวก
ไปฝึกจิตในดงพงป่าอยู่คนเดียว
ด้วยกระบวนการเท็คนิคสมาธิ
หรือที่เรียกกันว่ากรรมฐานสมาธิ
จึงจำเป็นต้องใช้วิธี #คอยสั่งจิตตนเอง ว่า
#ไม่อะไรกับอะไร ที่มันแทรกสอดเข้ามา
แปลว่าให้วางเฉยโดยไม่ต้องไปสนใจมัน
ถ้าไปสนใจมันเข้าจิตก็จะไม่นิ่งไม่สงบ
จะยังผลให้สมถะกรรมฐานนั้น
เกิดการล้มเหลวไม่เป็นท่า
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การที่ชาวบ้านหรือฆราวาส
ไปหยิบจับเอาแค่ประโยคพูด
"ไม่อะไรกับอะไร"
มาปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิต
มันจึงเป็นการจับผิดจำผิด
เพราะไม่เข้าใจแจ้ง
ท่านจะใช้มันได้ก็ต่อเมื่อเป็นนักบวช
และปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ
แนวอานาปานสติเท่านั้น
อย่านำมาใช้ในชีวิตประจำวันในสังคม
เพราะท่านจะกลายเป็นคนโง่
ทันทีที่ท่านไม่อะไรกับอะไร
เนื่องจากการทำเช่นที่ว่านั้น
เป็นการปฏิเสธการเรียนรู้ทุกสิ่ง
นอกจากนั้น
การไม่อะไรกับอะไร
ขณะใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นนั้น
มันจะทำให้ท่านไม่สนใจใคร ไม่แคร์ใคร
ไม่สนใจ
อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของคนอื่น
เพื่อแสดงความเป็นมิตรกับใครเลย
เสมือนท่านจะยึดติดตัวกูของกูไว้ถ่ายเดียว
สุดท้ายใครๆเขาก็คบกับท่านไม่ได้
เพราะท่านคิดพูดทำอะไรที่ไม่เหมาะ
จนคนอื่นเขากระทำไม่ถูกต้องตอบโต้มา
แต่ท่านก็จะทำเฉยเมยโดยไม่เรียนรู้ว่า
ตนทำอะไรผิดบาปทำอะไรไม่เหมาะกับเขา
เขาจึงตอบโต้กลับมาเช่นนั้น
ตัวท่านก็จะได้แต่หลงตัวเองว่า
"ฉันเป็นคนดี เธอน่ะเป็นคนไม่ดี"
ที่ฉันดีเพราะวางเฉยต่อการงี่เง่าของเธอได้
โดยไม่หือไม่อือไม่ถือสาหาความอะไร
เพราะฉันไม่อะไรกับอะไรกับเธอ
ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจผิดแบบหลงตัวเอง
ทั้งๆที่ท่านเป็นฝ่ายทำผิดบาปกับเขาก่อน
แล้วท่านก็ยังไม่รู้สำนึกอีก
ทำเสมือนว่า #จะไปสวรรค์คนเดียว ยังไงยังงั้น
ถ้ามองด้านความดีน่าจะมีเพียงสิ่งเดียว
คือ การไม่โต้กลับก็จะไม่มีเรื่อง
เมื่อไม่มีเรื่องชีวิตท่านก็เหมือนจะสงบ
แต่แท้จริงนั้นท่านก่อกรรมกับเขาไปแล้ว
เพราะความไม่รู้ไม่ชี้ของท่านนั่นแหละ
ขณะที่ "สันดานไม่ดี" ของท่าน
ก็จะยังไม่ได้รับการแก้ไขเพราะท่านไม่รู้ตัว
สมองจะทึบเพราะขาดทักษะทางปัญญา
เนื่องจากไม่อะไรกับอะไรกับใคร
ดังนั้น
ถ้าท่านยังหลงผิดอยู่อย่างนี้
ท่านก็จะยังเข้าถึงความเป็นพุทธะ
คือเป็นผู้มีจิตใสใจสวย
และเป็นผู้มีภูมิปัญญาแห่งอริยะไม่ได้
แล้วท่านจะผ่านบททดสอบจิตสามนึก
และเรียนรู้บทเรียนโลกได้อย่างไร
วิธีนั่งบังคับจิตตนเอง
เพื่อให้มันอยู่ในร่องในรอยนั้น
มันเหมือนกับการนำเด็กซนมามัดไว้
การมัดเด็กซนไว้เพื่อมิให้ซุกซนนั้น
เป็นการแก้ไขกันที่ปลายเหตุ
เพราะอุปนิสัยชอบซุกซนยังไม่ได้แก้
พอแก้มัดออกให้เด็กซนนั้นเป็นอิสระ
เด็กคนนั้นก็จะแสดงพฤติกรรมซุกซนดังเดิม
ถ้าจิตยังมิได้ขัดเกลาให้สะอาด
แม้ยามปกติจะดูสุขุมสงบเงียบเรียบราบ
แต่ถ้าถูกยั่วยุเย้ายวนเมื่อใด
สันดานทางจิตที่ไม่ดีมันก็จะแสดงตัวทุกครั้ง
เพราะเกิดอาการสติแตกเมื่อถูกยั่วเย้า
ดังนั้น
สำหรับฆราวาสที่มิใช่นักบวชแล้ว
การครองสติให้มั่นคงจึงสำคัญที่สุด
นั่นคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ ขณะอยู่ในสังคม
โดยพร้อมที่จะรับรู้แล้วเรียนรู้ทุกสิ่ง
ที่ผ่านผัสสะของอายตนะทั้งหกเข้ามา
จนเกิดการรู้ตัวทั่วพร้อมที่แท้จริง
มิใช่มีสติแบบหลอกหลอนตัวเอง
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจึงเตือนท่านตลอดมาว่า
อย่าเดินถ่างขาถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
ก็เพราะเหตุนี้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-2-2018