#กำกรรม #ทำธรรม
สรรพสัตว์โลกล้วนเกิดแต่กรรมจากอดีต
ทั้งอดีตชาติที่ผ่านมาและอดีตแห่งชาตินี้
ผู้ใดก่อกรรมไว้อย่างไร
ดอกผลแห่งกรรมจักเป็นเช่นนั้น
ไม่มีผู้ใดจะฝืนลิขิตกรรมของตนเองได้
มันยากตรงที่มนุษย์มิอาจล่วงรู้
อดีตกรรมของตนเองได้
เพราะตาที่สามถูกปกปิดมิติไว้
มนุษย์จึงมิอาจเชื่อมโยง "กรรม" ของตน
ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตชาติได้
จึงไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตตน
จึงไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตตนบ้าง
นอกจากนั้น
เมื่อเชื่อมโยงกรรมระหว่างภพชาติไม่ได้
จึงมักหลงผิดคิดไปว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตนในปัจจุบันนั้น
เป็นเพราะตนถูกกลั่นแกล้ง
เป็นเพราะตนถูกทำร้าย
ด้วยเหตุนี้เอง
แทนที่จะหยิบฉวย
เอาสถานการณ์ร้ายๆที่ตนเผชิญ
มาทบทวนใหม่ให้หลายๆครั้งเท่าที่โอกาสยังมี
เพื่อยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้
ด้วยสติปัญญา
แล้วสร้างสำนึกใหม่เสียให้ถูกต้องถ่องแท้ว่า
ที่ผ่านมานั้นตนกระทำผิดบาปอันใดไว้
จึงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งร้ายๆเยี่ยงนี้
ตนต้องคิดให้ได้ว่า
ถ้าพฤติกรรมทำบุญอันมโหฬารที่ผ่านมา
ชนิดที่สั่นสะเทือนทั้งชั้นฟ้าและชั้นดินนั้น
มันเป็นมหากุศลผลบุญอย่างแท้จริงแน่แล้ว
มันยังจะมีสิ่งใดผู้ใดหรืออะไรอีกหรือ
ที่จะสะท้อนกรรมดีด้านบวกของท่าน
ด้วยสถานการณ์ที่สั่นคลอน
ทั้งองค์กรและผู้คน
อันเป็นเงื่อนไขด้านลบ
ให้ตนพบเผชิญกันอยู่ในปัจจุบันได้เยี่ยงนี้
ยังไม่สายหรอกหากจะถามตนเอง
ในยามต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไร้สงบว่า
1.ที่ผ่านมาตนทำดีจริงหรือไม่
2.ที่ผ่านมาตนทำอย่างบริสุทธิ์ใจจริงหรือเปล่า
3.ที่ผ่านมานำพาพี่น้องดำเนินอย่างถูกทาง
ที่พระพุทธองค์ทรงชี้มิติเอาไว้ให้
หรือนำพาพวกเขาไปผิดทาง
4.ที่ผ่านมาทุกสิ่งอย่างที่กระทำ
มันเป็นหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนหรือเปล่า
เพราะแม้แต่ผู้จะเป็นครูสอนธรรมะตัวเล็กๆ
ก็ยังจะต้องถือหน้าที่ทางจิตวิญญาณมาเกิดด้วย
มิใช่เพียงแค่อยากเป็น อยากสอน
อยากได้บุญกุศลก็ลุกขึ้นมาอาสาสอนได้
ความผิดบาปจากการสอนให้คนหลงผิด
จากการสอนให้ผู้คนเข้าใจสัจธรรมผิดๆ
จากการสอนให้ผู้คนหลงงมงายไม่ใช้ปัญญา
ไม่ว่าจะเกิดจากการเป็น "ครูปัญญาน้อย"
ไม่ว่าจะเกิดจากการเป็น "ครูผู้รู้น้อย" หรือรู้ไม่จริง
ผลกรรมในความผิดบาปเช่นนี้หนักมหันต์
หน้าที่ครูผู้กล่าวธรรมะ
เป็นหน้าที่พิเศษอย่างหนึ่ง
ซึ่งจิตวิญญาณของคนๆนั้น
จักต้องผ่านการคัดเฟ้น
พร้อมเติมเต็มจิตตปัญญาสาระธรรม
ติดตัวมาด้วย
ดังนั้น
ครูผู้กล่าวธรรมะ
จึงต้องเป็นผู้มีคุณพิเศษกว่าคนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น....
1.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์นับถือตนเอง
มิใช่ให้ยอมตายถวายชีวิตเพื่อเจ้าลัทธิ
2.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์รู้จักรักรู้จักให้
มิใช่สอนให้บูชาเซ่นไหว้เพียงแต่เจ้าลัทธิ
3.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์บูชาความดีงาม
มิใช่สอนให้มุ่งบูชา
ความศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมายา
4.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์
สร้างมหัศจรรย์ทางปัญญา
มิใช่สอนให้พวกเขาลุ่มหลงในมายา
ที่ตนออกแบบมาเสียจนอัศจรรย์พันลึก
5.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์ได้เรียนรู้ว่า
พระพุทธองค์ทรงสอนอะไร สอนไว้อย่างไร
มิใช่พร่ำสอนแต่จะให้พวกเขารู้ว่า
ตนเองสอนอะไร
โดยไม่สนใจในผิดถูกบุญบาป
6.ต้องสอนให้เพื่อนมนุษย์รู้ว่า
การไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
จนหลอกลวงได้แม้กระทั่งตัวเอง
กับการสั่งสมทรัพย์สมบัติทางโลกจนเกินพอดี
บนกองทุกขเวทนาของผู้ที่ถูกจูงจิตนั้น
เป็นพฤติกรรมของครูที่ผิดบาปอย่างยิ่ง
พระพุทธองค์มิทรงโปรดหรอก
วิธีการสอนในเรื่องนี้ที่ดีที่สุดก็คือ
ครูเองน่ะแหละ
จักต้องไม่ประพฤติตน 6 แบบที่ว่านี้เด็ดขาด
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ใครก่อกรรมทำสิ่งใดไว้
ย่อมได้รับผลกรรมนั้นสนองเสมอ
แม้ตึกหรูที่สูงลิบลิ่วและแลดูสวยสง่า
ถ้าฐานรากของตึกไม่แข็งแรง
ออกแบบตึกเน้นแต่ความหรูอลังการณ์
แต่ด้านโครงสร้างผิดหลักวิศวกรรม
อีกทั้งยังสร้างขึ้นด้วยวัสดุที่ไม่มีคุณภาพ
พอผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยจนเต็มตึกแล้ว
ตึกก็จะเริ่มสั่นไหวโอนเอนคลอนแคลน
เพราะมันมีน้ำหนักเกินกว่าที่ตึกจะรับไหว
พอผู้คนในตึกแตกตื่นตกใจ
จนแย่งชิงกันเผ่นหนีออกมา
ก็จะยิ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนแก่ตัวตึกมากขึ้น
จนในบั้นปลาย
ทั้งหมดก็จะพังทลายลงมากองติดดิน
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ผลกรรมทั้งดีและไม่ดีของตนนั้น
ไม่มี ไม่รับ ไม่สน ไม่ได้
ต่อให้ย้ายสังขารลงไปแอบอยู่ในโอ่ง
ผลกรรมก็จักซอกซอนชอนไชเข้าไปถึง
ดังนั้น
ถ้าใครมั่นใจว่าตนก่อกรรมดีเอาไว้
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนแม้ในโอ่ง
สิ่งดีงามก็จักตามไปสนองท่านถึงในนั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-03-2017