07 มกราคม 2558

อย่าเก่งแต่ปาก


รู้แค่ว่าเก่งอะไรกับทำอย่างไรจึงจะเก่ง
มันไม่เหมือนกัน

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นคนรู้มากแล้วเที่ยวปากเก่งนั้น
ใช่ว่าจะช่วยสร้างความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณให้ท่านได้


นอกจากท่านจะแฝงกายทำตัวเสมือนเป็นผู้รู้
เพื่อให้คนอื่นที่เขายังงมงายอยู่ 
เพื่อให้คนอื่นที่เขายังสับสนกับตนเองอยู่
ได้หยิบฉวยคว้าท่านมาเป็นครูชั่วคราวเท่านั้นเอง

ท่านต้องอย่าลืมว่า
การเป็นครูที่แท้จริงนั้น.......
มิใช่แค่นั่งเทียนคิดหาความรู้มาสร้างเป็นคำพูดหรูๆ
หมายจูงใจให้ผู้คนหลงไหลไปกับสำบัดสำนวนเท่ห์ๆนั่น
แล้วจากนั้นท่านก็ทำเป็นสบัดก้นจากไป

จนบัดนี้ความรู้ที่ดีๆของผู้ที่อยากเป็นครูจึงมีอยู่มากมาย
จนสไลด์เฉียบๆที่ท่านชอบแชร์กันไปแชร์กันมา
มันแทบจะล้นหน่วยความจำของเพ็จทั้งหลายอยู่แล้ว

แต่ท่านทั้งหลายแลเห็นความจริงกันมั้ยว่า
ความรู้ดีๆกับสำนวนเท่ห์ๆเหล่านั้น
พี่ๆน้องๆสามารถจดจำแล้วนำมันมาใช้

เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
เพื่อการเปลี่ยนแปลงโลก

ให้มีความก้าวหน้าสถาพร
ให้มีสันติสุขแท้จริง
ให้เกิดความปิติและสงบในนิพพาน
ให้บรรลุในความหมายทั้งสามประการนั้นได้สักกี่มากน้อย


นักเรียนจึงต้องรู้ว่า.....ปัญหาของท่านนั้น

1.มิใช่ไม่รู้ว่าตนเป็นครูของตนเองได้
ใครๆก็รู้ว่าคนอื่นๆและทุกสรรพสิ่ง
สามารถเป็นครูของตนเองได้ทั้งนั้น
ถ้า "ครู" หมายถึง ผู้มีความรู้ที่ท่านยังไม่รู้
ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดความรู้นั้นให้ท่านได้

แต่ท่านจะต้องระลึกเสมอว่า
ครูคนแรกและครูคนสุดท้ายต้องเป็นตัวท่านเองเท่านั้น
โดยเฉพาะความรู้ใดๆที่ท่านต้องการเรียนรู้นั้น
อย่าให้ใครมาจูงจมูกของท่านได้

การจะเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเองคือยังไง
เอาไว้โอกาสหน้าเราจะมากล่าวความจริงนั้นให้รู้

2.มิใช่ไม่รู้ว่าตนต้องเก่งอะไร

ท่านทั้งหลายต่างล้วนผ่านประสบการณ์การมีภพชาติ
ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้กันมามากมาย
จนท่านย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าจักต้องทำสิ่งใดให้สำเร็
ท่านจะต้องมีความเก่งด้านใดบ้าง

เช่นถ้าท่านต้องเป็นนักขาย
ท่านย่อมต้องรู้ดีว่าท่านต้องเก่งนำเสนอสินค้าของท่าน
ถ้าจะให้เก่งนำเสนอสินค้าเพื่อขายท่านก็ต้องขายเก่ง
ถ้าท่านจะขายเก่ง ท่านก็จะต้องคิดเก่ง
โดยคิดเพื่อค้นหาจุดขายของสิ่งที่จะขายนั้น

เมื่อคิดเก่งแล้วท่านก็ต้องเก่งนำเสนอด้วยการพูดเก่งด้วย
การพูดเก่ง นำเสนอเก่ง และขายเก่ง
จึงต้องมาจากการคิดเก่ง เป็นต้น

3.มิใช่ไม่รู้ว่าทำไมตนจึงต้องเก่ง

ถ้าท่านปรารถนาที่จะทำสิ่งใดให้สำเร็จ
ท่านย่อมรู้ตนเองดีว่า
ถ้าไม่เก่งจริงในสิ่งที่จะทำแล้ว
คงยากที่จะประสบผลสำเร็จ

การดีแต่ขี้คุย ขี้โม้ โอ้อวดผู้อื่น ด้วยคำพูดเท่ห์ๆ
แต่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของคำว่า "เก่ง"
ความใส่ใจที่จะเรียนรู้เพื่อสร้างความเก่งให้ตนเอง
ให้มีความพร้อมต่อการกระทำสิ่งนั้นๆได้อย่างมั่นใจ
มันก็บังเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมมิได้

ดังนั้น....
ปัญหาของท่าน มันจึงมิใช่ทั้งสามอย่างที่กล่าวมา
แต่ปัญหาของท่านทั้งหลาย
มันอยู่ที่ 3 ประการนี้มากกว่า คือ

1.ไม่รู้ว่าตนจะเก่งได้อย่างไร
2.ไม่รู้ว่าตนจะฉลาดได้อย่างไร
3.ไม่รู้ว่าตนจะเป็นคนดีของผู้อื่นได้อย่างไร


ด้วยเหตุนี้เอง "ครู" ที่แท้จริง
จึงต้องสามารถสอนให้คนอื่นเขาฉลาดได้ด้วย
โดยฉลาดที่จะทำให้ได้อย่างที่ครูสอนเขาไว้นั่น

บอกว่าเกิดเป็นคนจะต้องเก่งกี่อย่างก็แล้วแต่
บอกแล้วจะมีใครประทับใจสักกี่คนก็ตาม
แต่หากบอกแล้วจะให้ใครๆได้ประโยชน์
จากความเก่งสาระพัดนั้นจริง
ก็ควรจะสอนพวกเขาด้วยว่า 

จะต้องทำอย่างไรจึงจะเก่งได้ในเรื่องนั้นๆ


มิใช่ภูมิใจกับความรู้ใหม่
มิใช่ชื่นชมไปกับคำกล่าวเท่ห์ๆนั้น
แต่นำมันไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงไม่ได้
ไม่ต่างจาก "เก่งแต่ปาก" นั่นแหละนะ

คนที่จะเรียนรู้ความรู้ทำนองนี้จากครูคนไหนก็ตาม


อย่าไปหลงตื่นเต้นกับความรู้ใหม่
อย่าไปติดอกติดใจกับสำนวนเท่ห์ๆเลย



ควรคิดเองต่อไปว่า 
ถ้าท่านจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น
ท่านควรสอนตัวเองว่าท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร

ถ้าท่านเป็นนักขาย
ท่านจะพูดเก่งได้อย่างไร
ท่านจะนำเสนอเก่งได้อย่างไร
ท่านจะคิดเก่งได้อย่างไร
ท่านจะขายเก่งได้อย่างไร
ท่านจะปิดการขายได้อย่างไร

ไม่ใช่รู้แต่ว่าท่านต้องทำอะไรบ้าง
แต่ท่านต้องรู้ว่า....
ท่านจะต้องทำมันอย่างไรนี่ต่างหากที่สำคัญกว่า

เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
7-01-2015